(สกู๊ป) 3 ทีมฟอร์มฝืดแห่งลีกยุโรป

(สกู๊ป) 3 ทีมฟอร์มฝืดแห่งลีกยุโรป

ใกล้จะถึงช่วงปีใหม่แล้วสำหรับฟุตบอลลีกยุโรป ที่มีความน่าติดตาม และยังดูไม่ออกว่าทีมใดจะมีสิทธิ์คว้าแชมป์ในลีกนั้นๆไปครองกันบ้าง

      สำหรับก่อนช่วงเริ่มต้นฤดูกาลมีหลายทีมที่พยายามยกระดับตัวเองด้วยการลงทุนเสริมทัพอย่างหนัก เพื่อคว้าตำแหน่งที่ดีขึ้น และถูกคาดการณ์ว่าจะประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่อีกหลายทีมชื่อดังก็ต้องพบความเปลี่ยนแปลงทั้งนักเตะย้ายออก หรือสโมสรขาดเงินสนับสนุนจนถูกมองว่าอาจจะไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้เหมือนซีซั่นที่แล้ว

     ถึงกระนั้นคำว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกลูกหนังนั้นสามารถนำมาใช้ได้เสมอ เนื่องจากทีมที่เสริมทัพเยอะ และดูเหมือนว่าจะมีการพัฒนากลับผลงานถอยหลังลงแบบน่าใจหาย ขณะที่บางทีมไม่ได้เสริมตัวอะไรมากมาย แต่พัฒนาระบบ และแผนการเล่นแทนกลับมีผลงานที่น่าประทับใจ จนอาจลุ้นบัลลังก์แชมป์ได้เลยทีเดียว

เอฟเวอร์ตัน
      เป็นที่ทราบกันดีว่าพรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก ทำให้ทีมที่หวังจะอยู่รอด หรือประสบความสำเร็จต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพ เช่นเดียวกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ในซีซั่นนี้ได้ ฟาร์ฮัด โมชิรี มหาเศรษฐีชาวอิหร่าน เข้ามาถือหุ้นใหญ่ของสโมสรกว่า 49.9% และประกาศก้องว่าต้องทำให้ทีมขึ้นไปอยู่ในอันดับท็อป 6 ของตารางเป็นอย่างน้อย
      ทำให้เมื่องช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ภายใต้การนำของ โรนัลด์ คูมัน กุนซือชาวดัตช์ ใช้เงินซื้อนักเตะใหม่มาร่วมทีมถึง 14 ราย นำมาโดย เวย์น รูนีย์, กิลฟี่ ซิกูร์ดสัน, ไมเคิล คีน, เดวี่ คลาสเซ่น และ จอร์แดน พิคฟอร์ด ภายใต้งบประมาณกว่า 140 ล้านปอนด์ (ราว 6.06 พันล้านบาท)
     ซึ่งทำให้สื่อต่างประเทศทุกสำนักพร้อมใจกันมองว่า เอฟเวอร์ตัน คือหนึ่งในทีมม้ามืดที่จะขึ้นมายึดพื้นที่ท็อป 4 ในฤดูกาลนี้ ถึงกระนั้นผลงานของทีมกลับออกมาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไร้ความเด็ดขาดในเกมรุก จนกระทั่งเสียแต้มให้กับทีมเล็กมากเกินไป
      รวมไปถึงเกมในถิ่น กูดิสัน พาร์ค ที่เคยเป็นจุดแข็งของพวกเขากลับหมดมนต์ขลังไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่บรรดานักเตะใหม่ๆที่ซื้อเข้ามา ก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้เท่าที่ควร จน คูมัน ต้องใช้งานดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ซึ่งก็ยังไม่ตอบโจทย์ และสุดท้ายหลังจากที่พวกเขาพ่ายต่อ อาร์เซนอล คาถิ่น 2-5 และร่วงไปอยู่ในอันดับ 18 ของตาราง ก็ทำให้ คูมัน ถูกปลดออกจากตำแหน่งไป
       จนถึงขณะนี้ผลงานของทีมก็ยังไม่กระเตื้องภายใต้การนำของ เดวิด อันส์เวิร์ธ ทำให้บอร์ดบริการต้องความหาเฮดโค้ชคนใหม่ เพื่อเข้ามาสะสางปัญหาของทีมที่มีมากเหลือเกินในปัจจุบัน

เอซี มิลาน
     หนึ่งในทีมยักษ์หลับแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์มาแล้วมากมายในอดีต แต่ในช่วง 10 ปีหลังสุดนั้นผลงานของพวกเขากลับไม่ค่อยดีนัก โดยแค่ในเกมลีกระดับประเทศก็ยังไม่สามารถขึ้นมาชิงชัยกับ ยูเวนตุส หรือ นาโปลี ได้แต่อย่างใด
ถึงกระนั้นในฤดูกาลนี้ทีม “ปีศาจแดงดำ” ได้รับการจับตามองอีกครั้ง นับตั้งแต่ หลี่ หย่งหง นักธุรกิจชาวจีนเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแบบเต็มตัว ด้วยมูลค่ากว่า 621 ล้านปอนด์ (ราว 2.6 หมื่นล้านบาท) และพร้อมตอบสนองความต้องการของแฟนบอลที่อยากให้ทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่กว่า 118 ปีแห่งนี้ กลับไปเป็นทีมระดับหัวแถวของยุโรปอีกครั้ง
      โดยสิ่งแรกที่พวกเขาจะสามารถช่วยทีมได้ นั่นก็คือ การอนุมัติงบประมาณในการเสริมทัพนักเตะใหม่เข้ามาสู่ทีม ซึ่ง วินเซนโซ่ มอนเตลล่า ก็สนองนโยบายดังกล่าว ด้วยการใช้เงินไปถึง 155 ล้านปอนด์ (ราว 6.7 พันล้านบาท) ในการดึงตัวนักเตะใหม่กว่า 11 คนเข้าสู่ทีม ซึ่งที่สร้างเสียงฮือฮามากที่สุด คือการคว้าตัว เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ปราการหลังจอมเก๋าของ ยูเวนตุส มาอุดแนวรับ รวมถึงคนอื่นๆ เช่น ริคาร์โด้ โรดริเกวซ , อังเดร ซิลวา , ฮาคาน คัลฮาโนกลู และฟาบิโอ บอรินี
       ประกอบกับการรั้งตัว จิอันลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูดาวโรจน์ ไว้กับทีมได้อีกด้วย ทำให้ถูกมองว่าพวกเขาจะกลับมาสู่ยุคยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ซึ่งในออกสตาร์ทซีซั่นพวกเขาก็ทำผลงานได้ดี ด้วยการชนะในเกมลีก 2 นัดรวด แต่พอมาในเกมที่ 3 กลับพ่ายต่อ ลาซิโอ เละถึง 1-4 และก็แพ้อีกถึง 4 เกมจากการลงสนาม 11 นัดในศึกกัลโช่ รั้งอันดับ 8 ของตาราง โดยตามหลังจ่าฝูงอย่าง นาโปลี ถึง 15 แต้ม โดยปัญหาสำคัญของเอซี มิลาน ในซีซั่นนี้ คือ การที่นักเตะซึ่งเสริมทัพเข้ามา มีแต่แข้งเกรดบี และไม่สามารถไว้ใจได้ รวมถึงการวางแผนที่ผิดพลาดของ มอนเตลล่า ที่มักจะให้โอกาสกับนักเตะซึ่งมีฟอร์มไม่ค่อยดีนักในการลงสนามอยู่เสมอ เช่น คริสเตียน ซาปาต้า และ ฟาบิโอ บอรินี่ เป็นต้น ขณะที่ดาวดังคนอื่นๆกลับถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง จนแฟนๆหลายคนเรียกร้องให้เปลี่ยนเฮดโค้ชคนใหม่ในขณะนี้
      เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาอีกว่า หลี่ หย่ง หง นั้นไม่ใช่มหาเศรษฐีตัวจริง และไปกู้เงินทุนมาเพื่อซื้อหุ้นสโมสรของ เอซี มิลานเพื่อนำไปหากำไรอีกด้วย

เรอัล มาดริด
     หากจะพูดถึงทีมที่มีฟอร์มผิดคาดมากที่สุดในลีกยุโรป ซึ่งหลายคนคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ นั่นก็คือ เรอัล มาดริด ดับเบิลแชมป์เมื่อซีซั่นที่แล้ว ทั้ง ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และลาลีก้า สเปน
      โดยในฤดูกาลนี้ขุมกำลังของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากเดิมนัก นำมาโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เซร์คิโอ รามอส, ลูก้า โมดริช และโทนี่ โครส แต่การเสริมทัพของ ซีเนดีน ซีดาน นั้นต่างออกไปจากฤดูกาลที่ผ่านๆมาที่ “ราชันชุดขาว” มักจะเสริมทีมด้วยแข้งในระดับซูเปอร์สตาร์ และมีค่าตัวแตะระดับสถิติโลก แต่ซีซั่นนี้พวกเขาเสริมทีมด้วยดาวเตะดาวรุ่งเกือบทั้งหมด เช่น เตโอ เอร์นานเดซ และดานี เซบาญอส เป็นต้น
      ไม่รู้ว่าด้วยโชคชะตา หรืออย่างไร “ลอส บลังโกส” ต้องพบกับวิบากกรรมมากมาย ทั้ง นักเตะตัวหลักของทีมผลัดกันได้รับบาดเจ็บ ทั้ง แกเร็ธเบล, คาริม เบนเซมา จนส่งผลให้ทีมมีปัญหาเรื่องการผลิตสกอร์ แม้จะมีโอกาสมากมาย แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้
      รวมไปถึงการที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กลับฟอร์มตกจนน่าใจหาย ด้วยการลงสนามในลีก 6 เกมยิงได้ 1 ประตู โดยมีโอกาสยิงเฉลี่ย 6.7 ครั้งต่อเกม และมีเปอร์เซ็นต์เป็นประตูแต่ละครั้งอยู่ที่ 2.5 เปอร์เซนต์ ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาหัวหอกระดับพระกาฬของ 5 ลีกใหญ่ยุโรป
      และจากปัญหาที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นของทีมอย่างชัดเจน ซึ่งคนที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักที่สุด คงจะหนีไม่พ้น ซีเนดีน ซีดาน ที่ไม่สามารถแก้เกมได้ด้วยขุมกำลังที่มีอยู่ โดยเฉพาะนัดล่าสุดที่บุกไปพ่ายต่อ คิโรนา น้องใหม่ ทำให้เขาต้องตามหลัง บาร์เซโลนา จ่าฝูงถึง 8 แต้มด้วยกัน และสถิติตามประวัติศาสตร์ หาก เรอัล มาดริด ตาม บาร์ซา 8 แต้ม ไม่มีฤดูกาลไหนที่พวกเขาจะพลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้เลยอีกด้วย

      จากนี้ไปต้องมาดูกันว่าทั้ง 3 ทีมที่กล่าวไปข้างต้นนั้น จะมีฟอร์มการเล่นที่กระเตื้องขึ้นมาหรือไม่ หรือจะมีผลงานที่จมดิ่งเหมือนในปัจจุบันและจบฤดูกาลด้วยความผิดหวังเช่นนี้