'รองโจ๊ก' สั่งขึ้นบัญชีดำนายกสมาคมการค้าสัมพันธ์ไทย-จีน

'รองโจ๊ก' สั่งขึ้นบัญชีดำนายกสมาคมการค้าสัมพันธ์ไทย-จีน

"รองโจ๊ก" สั่งเพิกถอนบัตรประชาชน "นายกสมาคมการค้าสัมพันธ์ไทย-จีน" ขึ้นบัญชีดำ พร้อมเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ ฐานจดแจ้งข้อความสัญชาติอันเป็นเท็จ

นายอุดม จวง นายกสมาคมการค้าสัมพันธ์ไทยจีน พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.กรัณฑ์วาริษฐ์ สมจันทร์ รอง สว.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากระทำการจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 หลังตำรวจสันติบาลตรวจพบความผิดปกติเกี่ยวกับการสวมบัตรประชาชน เพื่อให้ได้สัญชาติไทยโดยผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยมีพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.ต.ฉัตรชัย เพชรปานกัน สว.(งานขอถือและสละสัญชาติ) ฝ่ายกฎหมายและวินัย บช.ส. เข้ามาติดตามความคืบหน้า

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากทาง บช.ส. ได้ทำการตรวจสอบและพบว่า นายอุดม มีการแปลงสัญชาติโดยไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน โดยมี บช.ทท. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้รับการประสานงานให้ร่วมตรวจสอบและขยายผล จนทราบว่า บุคคลดังกล่าวได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 2527 ต่อมาปี 2534 พบข้อมูลการสวมบัตรประชาชนคนไทย แล้วสมรสกับภรรยาคนไทยจนมีบุตรด้วยกัน 2 คน จากนั้นปี 2541 ได้หย่าร้างแล้วเดินทางออกนอกประเทศ แล้วกลับเข้ามาอีกในปี 2542 โดยใช้หนังสือเดินทางสัญชาติจีน ชื่อนายซู เซิง จวง จากนั้นปี 2547 ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาชาวไทยคนเดิม และมีบุตรด้วยกัน 1 คน กระทั่งปี 2551 ได้ทำเรื่องขอใช้สิทธิ์กรณีเป็นสามีผู้มีสัญชาติไทย จึงขอแปลงสัญชาติเป็นชาวไทย และได้รับสัญชาติไทย

ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบย้อนหลัง อาทิ ชื่อ ใบหน้า ลายนิ้วมือ และอื่นๆ ที่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในการตรวจสอบได้ กลับพบว่าเคยเดินทางมาในราชอาณาจักรไทย เมื่อปี 2547 เคยได้สัญชาติไทยไปแล้วเมื่อปี 2534 อีกทั้งยังมีการแจ้งว่าสมรสชาวไทย มีบุตร 2 คน แต่ปี 2551 แจ้งว่ามีบุตร 1 คน ดังนั้น ข้อกฏหมายตามพรบ.สัญชาติ หลังได้สัญชาติโดยการแปลงไปแล้วตาม มาตรา 19 (1) ถ้าหากพบว่าปกปิดข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ จนได้รับสัญชาติมามีอำนาจให้รัฐมนตรีถอนสัญชาติได้ เบื้องต้นได้แจ้งความคดีทางอาญา จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ก่อนเพิกถอนบัตรประชาชน แล้วผลักดันกลับประเทศไป พร้อมขึ้นบัญชีแบล็คลิสหรืออื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าประเทศในอนาคต นอกจากนี้ขั้นตอนต่อไปจะทำการตรวจสอบถึงธุรกิจที่เข้ามาทำในประเทศไทย รวมถึงพิจารณาการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ ใบอนุญาตจดการค้าต่างๆ ต่อไป

ส่วนการสวมบัตรเมื่อปี 2534 นั้น บช.ทท. และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะต้องทำการตรวจสอบขยายผลอีกครั้ง หากพบความผิดจะแจ้งข้อหาปลอมแปลง หรือใช้เอกสารปลอม ตามความผิดพรบ.บัตรประชาชน ทั้งนี้ผู้ต้องหาได้เข้ามามอบตัวเอง เจ้าหน้าที่ก็ให้ความเป็นธรรมในการชี้แจงเรื่องต่างๆ จากการสอบถามเบื้องต้นให้การว่า มีลูก 3 คน ส่วนขั้นตอนและรายละเอียดในการขอสัญชาติและบัตรประชาชนนั้น นายอุดม จดจำรายละเอียดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาก่อนปล่อยตัวไป โดยไม่ต่องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว เนื่องจากเดินทางเข้ามามอบตัวด้วยตัวเอง และไม่มีพฤติการหลบหนี โดยจะนำตัวส่งฟ้องศาลภายใน 30 วัน ต่อไป