ไขวิถีโต SYNEX 'สมาร์ทโฟน' ธุรกิจทำเงิน

ไขวิถีโต SYNEX 'สมาร์ทโฟน' ธุรกิจทำเงิน

ไม่รอช้าเกาะติดเทรนด์ดิจิทัล-นโยบายไทยแลนด์ 4.0 'กลุ่มสมาร์ทโฟน' กิจการทำเงินนัมเบอร์วัน บมจ. ซินเน็ค (ประเทศไทย) 'สุธิดา มงคลสุธี' นายหญิง ยืนยันปีนี้รายได้แตะ 3 หมื่นล้านบาท พร้อมต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจไอทีด้วยสินเชื่อไฟแนนซ์

ปิดดีลครึ่งปีแรก 2560 ของ บมจ. ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ด้วยการสร้างกำไรสุทธิ 299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้การขายและให้บริการ 5,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56%  

สวนทางกับ 'ปัจจัยลบ' ต่างๆ ทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศ 'ซบเซา' กำลังซื้อผู้บริโภค 'หดตัว' รวมทั้งผู้ประกอบการ 'ธุรกิจไอที' ต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคหันมานิยมสินค้า 'กลุ่มสมาร์ทโฟน' ตามเทรนด์อันเนื่องจากความคล่องตัวและความสะดวกในพกพาและการใช้งาน ซึ่ง 'ซินเน็ค (ประเทศไทย)' ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนจัดจำหน่าย หรือ กระจายสินค้า (ดิสทริบิวเตอร์) สินค้าไอทีรายใหญ่ของไทยกลับยังคงเดินหน้าขยายสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

ทว่า ปัญหาดังกล่าวไม่กระทบต่อธุรกิจของ 'ซินเน็ค (ประเทศไทย)' เพราะสินค้าไอทีถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคไปแล้ว สะท้อนภาพชัดเจนจากผลประกอบการเติบโต และตอกย้ำด้วย 'ปัจจัยบวก' จากนโยบายขับเคลื่อน 'เศรษฐกิจยุคดิจิตอล' (Digital Economy) ของรัฐบาลชุดปัจจุบันจึงเป็นโอกาสในการเติบโตของ SYNEX !! 

ฉะนั้น เมื่อสินค้า IT ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายเป็นที่ต้องการของตลาดและเป็นเทรนด์เทคโนโลยีอนาคต และแรงสนับสนุนจากโครงการไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสการเติบโตในอนาคต 'ยี้-สุธิดา มงคลสุธี' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ยืนยันให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังเช่นนั้น 

บริษัทมี 'จุดแข็ง' ในตลาดคอนซูเมอร์ (Consumer) โดยเป็นผู้แทนจัดจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตสินค้าเจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกมากกว่า 50 ตราสินค้า มีฐานลูกค้าผู้ประกอบการด้านสินค้าคอมพิวเตอร์มากกว่า 5,000 ราย เช่น กลุ่มลูกค้าผู้วางระบบซอฟท์แวร์ปฏิบัติการรายใหญ่ ผู้ผลิตจำหน่ายสินค้าคอมพิวเตอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตัวเอง รวมถึงร้านค้าปลีก ค้าส่งทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก ขนาดใหญ่ และร้านจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียน เป็นต้น 

เธอ บอกว่า ในปีนี้ธุรกิจที่เป็น 'พระเอก' นั่นคือ 'กลุ่มสมาร์ทโฟน' (มือถือ) ที่ทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตมากในครึ่งปีแรกและคาดจะต่อเนื่องไปในครึ่งปีหลัง โดยช่วงครึ่งปีแรกมีการเปิดตัวสินค้าใหม่การเปิดตัวโทรศัพท์มือถือ Huawei และ Samsung Galaxy Note 8 เป็นต้น 

สะท้อนภาพให้เห็นจากสัดส่วนรายได้เติบโตกลุ่มมือถือและโน๊ตบุ๊ค (Device) 40% จากเดิม 30% ผลิตภัณฑ์กลุ่มคอนซูเมอร์ (Consumer) 40% และที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มคอมเมอร์เชียล (Commercial) 20% 

สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนทั่วโลกปี 2559 ยังคงมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้นำตลาดสินค้าสมาร์ทโฟนยังคงเป็น Samsung , Apple และ Huawei ตามลำดับ สัดส่วนมูลค่าตลาดปี 2559 ของระบบปฏิบัติการ Android ครองแชมป์รักษาส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 80% รองลงมาคือ iOS และอื่นๆ  โดยปัจจุบันบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าสมาร์ทโฟน อาทิ Samsung Huawei Asus และ Lenovo เป็นต้น 

ฉะนั้น เมื่อการเติบโตในสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนต่อเนื่อง บริษัทไม่ปล่อยโอกาสในการเพิ่มโปรดักท์สินค้าใหม่ๆ จึงเข้าไปเจรจาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Apple ซึ่งปัจจุบันได้จำหน่ายสินค้าบางตัวของ Apple ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ขายมือถือคาดว่าบริษัทจะมีโอกาสเป็นตัวแทนจำหน่ายมือถือในปีนี้ แต่คงไม่ครบทุกรุ่น แต่คาดว่าในอนาคตบริษัทมีโอกาสจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 

'เรามียอดขายสินค้าแบรนด์ Apple เข้ามาอยู่ในพอร์ตแล้ว ถือเป็นการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้กับลูกค้าเราด้วย'

หญิงเก่ง บอกต่อว่า สำหรับกลยุทธ์ปีนี้ยังหันมาเน้น 'บริการหลังการขาย' (Services) แก่ลูกค้าให้สะดวกรวดเร็วขึ้น บริษัทยังมีแผนเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงสินค้าอย่างเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อ Trusted by Synnex โดยเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์ซ่อมดังกล่าวจะอยู่ภายในศูนย์บริการซินเน็คที่มีสาขารวมทั้งสิ้น 71 สาขา แบ่งเป็น ศูนย์บริการที่บริษัทเป็นผู้บริหารเอง จำนวน 11 สาขา และสาขาที่ร่วมกับพันธมิตรทั่วประเทศอีก 60 สาขา คาดหวังจะมีรายได้จากการบริการ (Service) มากขึ้น จากปัจจุบันมีรายได้อยู่ที่หลัก 'สิบล้านบาท' ในแต่ละปี

นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนพัฒนาประเทศผ่านนโยบาย 'ไทยแลนด์ 4.0' เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนความต้องการใช้สินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียลมากขึ้น ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจะเน้นเพิ่มสินค้าหลากหลายในตลาด Commercial มากขึ้นด้วย ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค  Internet of Things สินค้าไอทีจะเป็นพื้นฐานสำคัญ จึงเป็นผลบวกต่อบริษัทในการขยายตลาด ขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีก

กิจการที่บริษัทกำลังเข้าไปดำเนินการ คือ 'ธุรกิจไฟแนนซ์' ผ่านการเข้าไปซื้อหุ้นในสัดส่วน 30% ใน 'บริษัท บัฟ (ประเทศไทย) จำกัด' ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ซึ่งบริษัทเห็นช่องทางการเติบโตมาก เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีโปรดักท์ทางการเงินบริการลูกค้า แต่ไม่สามารถทำได้เต็มตัวซึ่งที่ผ่านมาบริษัทปฎิเสธการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าจำนวนมาก 

ฉะนั้น การเข้ามาถือหุ้น 'บัฟ (ประเทศไทย)' ถือว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจด้วย และอนาคตพอร์ตสินเชื่อของ SYNEX จะย้ายไปอยู่ในพอร์ตของ บัฟ (ประเทศไทย) ซึ่งบริษัทจะเป็นคนส่งลูกค้าที่เคยใช้บริการสินเชื่อให้ บัฟ (ประเทศไทย) เป็นผู้ปล่อยกู้แทนซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าสินเชื่อของบัฟ (ประเทศไทย) เติบโตอีกมาก และบริษัทก็จะได้ขายสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากลูกค้ามีแหล่งเงินทุนในการซื้อสินค้า  

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทสามารถรับรู้กำไรสุทธิเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่มีการรวมงบการเงิน เพื่อป้องกันการสับสนของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพิจารณาให้มีการจัดทำงบการเงินรวม (Consolidated Subsidiaries) ก็ต่อเมื่อจะมีการปล่อยสินเชื่อในสินค้าไอทีมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มสินค้าไอทีได้ในปี 61 ซึ่งขณะนี้ได้ส่งทีมงานเข้าไปทำงานร่วมกันแล้ว

เธอบอกต่อว่า เป้าหมายรายได้ปี 2560 มีโอกาสเติบโต 'ระดับ30,000ล้านบาท' เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 23,949 ล้านบาท เนื่องจากประเมินว่ายอดขายทุกกลุ่มสินค้าจะยังเติบโตต่อเนื่องอีกในช่วงครึ่งปีหลัง หลังครึ่งปีแรกบริษัททำรายได้ไปแล้ว 1.65 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนยอดขายเติบโตในทุกสินค้า ทั้งประเภท Device กลุ่ม Commercial และสินค้า Consumer สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งแบรนด์ชั้นนำค่ายต่าง ๆ เตรียมออกสินค้าใหม่ เช่น กลุ่มสมาร์ทโฟนค่ายซัมซุง ก็จะออกสินค้าใหม่อย่าง Samsung และ Huawei ก็เตรียมออก Huawei Mate 10 เป็นต้น

ส่วนกลุ่มสินค้า Commercial ก็จะมีสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดเช่นกัน เช่น สินค้าด้านความปลอดภัย และยอดขายที่ยังเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มสินค้า เช่น สินค้าโดรนจาก DJI รวมทั้งคาดอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 1.82% เติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 1.7% เนื่องจากบริษัทได้หันมาบริหารต้นทุนในการขนส่งและการขายมากขึ้น และจากการนำสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามาจำหน่าย

สุดท้าย 'สุธิดา' ทิ้งท้ายว่า ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดีของบริษัท เพราะว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์มีอัตราการเติบโตของทุกกลุ่มสินค้า และในอนาคตยังมีปัจจัยบวกในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาครัฐตามนโยบาย 4.0  ด้วย 

ปีหน้ารายได้ตปท.'พันล้าน'  

'สุธิดา มงคลสุธี' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX บอกว่า สำหรับการลงทุนใน 'ต่างประเทศ' บริษัทเข้าไปลงทุนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าแถบภูมิภาคอินโดไชน่าตั้งแต่ปี 2556 ทำให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดใน 3 ประเทศ คือ เมียนมา ลาว และ  กัมพูชา โดยทั้ง 3 ประเทศนิยมใช้สินค้าที่เป็นตราสินค้าของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง 

ในปี 2559 บริษัทมีรายได้ประมาณ 700-800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ยังไม่ถึง 5% ในการเข้าไปลงทุนในประเทศเมียนมา , ลาว และกัมพูชา โดยบริษัทขายสินค้าเข้ากว่า 10 แบรนด์แล้ว

'ในปี 2561 ตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งขยายแบรนด์สินค้าเข้าไปให้มากขึ้น ตลาดต่างประเทศถือว่าเป็นโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมที่ทำให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโต รวมทั้งเป็นการ 'กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ' หรือ Diversify ด้วย'  

อย่างไรก็ตามสินค้าของ SYNNEX ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และได้รับการยอมรับในการเป็น Global Distributor รายสำคัญทั่วโลก ซึ่งการทำตลาดในต่างประเทศ เน้นการกระจายฐานลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายรายเดียวในปัจจุบัน และมีการส่งพนักงานประจำคนไทยไปนั่งออฟฟิศของตัวแทนจำหน่าย เพื่อช่วยตัวแทนทำตลาด รวมทั้งถ่ายทอดความรู้การบริหารจัดการให้แก่ตัวแทนจำหน่าย เป็นต้น