เลื่อนสืบพยานโจทก์ปากที่4 คดีขอนแก่นโมเดล

เลื่อนสืบพยานโจทก์ปากที่4 คดีขอนแก่นโมเดล

ศาลเลื่อนสืบพยานโจทก์ คดีขอนแก่นโมเดลปากที่ 4 ตำรวจที่เข้าค้นยึดอาวุธปืนของจำเลยที่ 1 จ่าสิบตรีประธิน รปภ.แบงค์ชาติ ขณะที่ผู้ต้องหา 22 คน เดินทางมาพร้อมทนายและครอบครัวมาให้กำลังใจคับคั่ง

วันที่ 18 ตุลาคม 2560 ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 (ศาล มทบ.23) ค่ายศรีพัชรินทร์ ต.ในเมือง อ.เมืองขอนแก่น ผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล คดีอาญาหมายเลขดำที่ 10 ก/2557 จำนวน 22 คน ได้เดินทางมาตามนัดหลังศาลนัดสืบพยานโจทก์ พร้อมกับทนายความจำนวน 17 คน โดยทุกคนได้เข้าไปลงชื่อพร้อมกับรับหมายเลขลำดับจำเลย

นัดนี้ อัยการทหารนำพยานโจทก์เข้าเบิกความ 1 ปาก ซึ่งเป็นพยานโจทก์ปากที่ 4 คือ ร.ต.อ.นพดล ถาโงกโป้ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู ซึ่งตำแหน่งขณะเกิดเหตุเป็นรองสารวัตรกองกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และเป็นผู้ที่เข้าไปตรวจยึดทรัพย์สินของจ่าสิบตรีประธิน จันทร์เกศ จำเลยที่ 1 ที่เก็บไว้ที่ทำงาน ส่วนงาน รปภ.ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยภายในกระเป๋าส่วนตัวของจ่าสิบตรีประธิน มีอาวุธปืนขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุน 7 นัด สมุดบัญชีธนาคารหลายเล่มและกล้องถ่ายรูป
แม้ว่าจำเลยจะเดินทางมาครบตามนัด แต่เนื่องจากเอกสารบัญชีพยานของโจทก์เกิดความคลาดเคลื่อน ศาลจึงเลื่อนสืบพยานโดยนัดโจทก์ปากที่ 4 ออกไปและได้นัดอีกครั้งในวันที่ 24 พ.ย.2560 โดยนัดพร้อมกับการสืบพยานโจทก์ของทนายจำเลย สำหรับพยานปากที่ 3 คือ ร้อยเอกธนะนันท์ มานะยิ่ง ที่ยังสืบพยานยังไม่เสร็จไปก่อนหน้านี้

เวลาสืบพยานบุคคลหลักฐานต้องย่นหลักฐานจะเอาพยานเข้ามาสืบเลยไม่ได้ต้องยื่นล่วงหน้า แต่อัยการยื่นไว้แล้ว แต่บัญชีเอกสารเยอะ อาจจะหลงลืมให้เลื่อนนัดไปก่อน ให้โจทก์ยื่นสำนวนขอนแก่นโมเดลอาจจะมีข้อผิดพลาดทางเอกสาร

สำหรับคดีขอนแก่นโมเดล เป็น คดีอาญาหมายเลขดำที่ 10 ก/2557 ที่อัยการศาล มทบ. 23 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ กับพวกรวม 26 คน ในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง, ร่วมกันตระเตรียมก่อการร้าย, เป็นซ่องโจร, มีอาวุธปืนและวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง, พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ, มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง และมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต

ขณะเดียวกันคดีนี้ได้มีการอ้างพยานบุคคลรวม 90 ปาก เริ่มสืบพยานโจทก์นัดแรก เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 59 โดยพยานโจทก์ปากแรกคือ พล.ต.ชาญชัย เอมอ่อน ผู้สั่งการให้จับกุมจำเลยในคดีนี้ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8 และผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 8 ซึ่งตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร จากนั้นมีการนัดเบิกความพยานโจทก์ปากที่ 2 และ 3 อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวันนี้เป็นปากที่ 4 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอีกครั้ง

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 23 พ.ค.57 กำลังทหารจากกรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชไชย จ.ขอนแก่น ได้เข้าตรวจค้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จับกุมจ่าสิบตรีประธิน จันทร์เกศ และจับกุมผู้ต้องสงสัยอีกจำนวน 22 คน ที่โรงแรมชลพฤกษ์เลคไซด์ พร้อมของกลาง ซึ่งมีบัตรประจำตัว “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” 2 ใบ, โทรศัพท์มือถือ 25 เครื่อง, แท็บเล็ต 2 เครื่อง, วิทยุสื่อสาร 2 เครื่อง, มีดสปาต้า 1 เล่ม, มีดปลายปืน 2 เล่ม, ลูกระเบิดขว้าง 2 ลูก, ลูกระเบิดปิงปอง 1 ลูก, ลูกระเบิดควัน เอ็ม 18 จำนวน 1 ลูก, แม็กกาซีนปืน 2 อัน, กระสุนปืนพกขนาด 9 มม. 202 นัด, 11 มม. 154 นัด, กระสุนปืนลูกซอง 15 นัด, ถังแก๊ส 2 ใบ, ไขควง 3 อัน, ค้อน 2 ตัว, กุญแจมือ 8 อัน, เสื้อเกราะ 1 ตัว, ผ้าพันคอสีแดงประมาณ 300 ผืน, เสื้อยืดสีขาว 100 ตัว, ป้ายไวนิลสีแดงขนาดใหญ่จำนวน 3 ผืน เอกสารเป็นแผนภูมิวางระเบิดในภาคใต้ แผนผังทำวงจรระเบิดในเขตพื้นที่ จ.ขอนแก่น, ภาพฝึกอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ

จากนั้นได้จับกุมเพิ่มอีก จนกระทั่งมีผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 26 คน ทั้งหมดถูกนำตัวแถลงข่าวและถูกส่งดำเนินคดี คุมขังที่เรือนจำกลางขอนแก่น ต่อมาศาลได้ให้ประกันตัวจำเลยทั้งหมด แต่มี 3 คนที่ถูกดำเนินจับและดำเนินคดีอื่นและยังคงอยู่ในเรือนจำกลางขอนแก่นคือ จ่าสิบตรีประธิน จันทร์เกศ นายสิระพงษ์ กองคำ และนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม มีผู้เสียชีวิต 2 รายคือจำเลยที่ 16 นายพิเชฐ บุญคำ และจำเลยที่ 25 นายคมสัน ภูสีเขียว นอกจากนี้ยังมีผู้ที่หนีประกันคือ นายมีชัย ม่วงมนตรี จำเลยที่ 19 และนายสุริยะ วงศ์สุธา จำเลยที่ 8