ผลประกอบการสดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวก

ผลประกอบการสดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวก

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวันศุกร์ ในแดนบวก ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น  30.71 จุดหรือ 0.13% ปิดที่ 22,871.72 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ขยับขึ้น 2.24 จุดหรือ 0.09% ปิดที่ 2,553.17 จุด และดัชนีแนสแด็ก บวก 14.29 จุดหรือ 0.22% ปิดที่ 6,605.80 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้น 3เอ็มทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก ขณะที่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 มีการขยายตัว 6.1%, 15.5% และ 10.8% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว รวมทั้งไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 3 คาดว่าจะมีการขยายตัว 4%

นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนราว 87% ที่มีการเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว สามารถมีกำไรมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

แบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ แบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.2079 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.1976 หมื่นล้านดอลลาร์

แบงก์ ออฟ อเมริกา ยังระบุว่า ธนาคารมีกำไร 48 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 45 เซนต์ต่อหุ้น

ขณะที่ เวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่มีรายได้ต่ำกว่าคาด โดยธนาคารมีรายได้ 2.193 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.04 ดอลลาร์ต่อหุ้น

ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.240 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.03 ดอลลาร์ต่อหุ้น

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทะยานขึ้น 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี ซีพีไอ ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 13.1% ของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐ จนทำให้โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากต้องปิดการดำเนินงานชั่วคราว

 ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย.

ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นในเดือนก.ย. ได้รับผลบวกจากการฟื้นฟูบูรณะเขตประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ซึ่งทำให้มีความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้าง และรถยนต์

นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกยังได้แรงหนุนจากรายได้ของสถานีบริการน้ำมันที่พุ่งขึ้น หลังราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น ขณะเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงาน หลังเกิดพายุเฮอร์ริเคนถล่ม