โคราชรวบแก๊ง "อาฉี" ชาวไต้หวันคอลเซ็นเตอร์ โทรป่วนสร้างเรื่องกล่าวหาพัวพันยาเสพติด ตุ๋นคนไทยให้โอนเงินเข้าบัญชี มูลค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 (บก.สส.ภ.3 ) นครราชสีมา เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 12 ตุลาคม พลตำรวจโทดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 นครราชสีมา พร้อมพลตำรวจตรีสุภากร คำสิงห์นอก ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ( ผบก.บก.สส.ภ.3 ) ร่วมขยายผลการจับกุมMr.Chi Minหรืออาฉี สัญชาติไต้หวัน อายุ 45 ปี เลขพาสสปอร์ต 311693888 ตามหมายจับศาลจังหวัดสีคิ้ว ที่ จ.172/2560 ลงวันที่ 29 กันยายน 2560 ในข้อหาร่วมกับพวกที่หลบหนี
โดยร่วมกันบัตรอิเลกทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้แทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสดของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน พร้อมให้ตรวจยึดทรัพย์สินที่มีใช้หรือได้มาจากการกระทำความผิดจำนวน 4 รายการ ได้แก่ 1.ธนบัตรรัฐบาลไทย จำนวน 270,000 บาท 2.สมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ 5 เล่ม บัตรอิเลกทรอนิกส์ 2 ใบ และโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ที่บริเวณหน้าร้านสมจิตรเนื้อย่างเกาหลี ต.หนองบัวศาลา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ยังมีหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ลงวันที่ 23 กันยายน 2560 ข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ( พ.ร.บ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ 2556 มาตรา 5 และ 25 และชาวไต้หวัน 3 คน ฐานเป็นผู้ร่วมขบวนการคือนายHou Cheng Shonอายุ 30 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ 310245444,นายHung Wei Cheอายุ 22 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ 311880706 และนายWu Chung Cheหนังสือเดินทางเลขที่ 314571752 พร้อมของกลางเงินสด 189,000 บาท บัตรเอทีเอ็มธนาคารไทยพาณิชย์ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 ชุด
พล.ต.ต สุภากร ผบก.สส.ภาค 3 เปิดเผยว่า Mr.Chi Minหรืออาฉี ฯ ได้เดินทางเข้ามาฝังตัวอยู่ในประเทศไทย โดยเช่าบ้านพักอาศัย นานกว่า 10 ปี ทำหน้าที่คอยดูแลประสานงานชาวไต้หวัน รวมทั้งรวบรวมเงินจากเครือข่ายจัดสรรผลประโยชน์ให้กับศูนย์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศไต้หวันเป็นประจำ ส่วนชาวไต้หวัน 3 คน อ้างเศรษฐกิจในประเทศไต้หวันไม่ดี นายจ้างเลิกจ้างทำให้ขาดรายได้และต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัว จึงต้องเข้าร่วมกับขบวนการนี้ โดยถูกชักชวนว่าได้ท่องเที่ยวประเทศ พร้อมกับทำหน้าที่รับบัตรเอทีเอ็มจากหัวหน้าเครือข่าย แล้วตระเวน กดเงินตามสถานที่ต่างๆ เพื่อนำเงินออกมา ซึ่งเพิ่งเข้าเริ่มงานเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งถูกจับกุมตัว
“ พฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แบ่งหน้าที่การทำงาน ชุดแรกโทรศัพท์ทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ประจำอยู่จังหวัดต่างๆในประเทศไทย สร้างความน่าเชื่อถือใช้หมายเลขโทรศัพท์ต้นทางเป็นเบอร์องค์กรดังกล่าว แล้วบอกให้เหยื่อโทรศัพท์ติดต่อกลับ เพื่อให้หลงเชื่อ ชุดที่สองรับลูกโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของดีเอสไอ หรือป้องกันปราบปรามยาเสพติด สร้างละครหลอกตรวจสอบในพัสดุด้านในมีสิ่งของผิดกฎหมาย เช่นยาเสพติด สมุดบัญชีหลายเล่ม รวมทั้งมียอดเงินโอนเข้าออกผิดปกติ ซึ่งเข้าข่ายฟอกเงิน เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและมีอาการหวาดกลัวก็ออกกลอุบายจะช่วยเหลือให้พ้นผิด ให้เหยื่อแสดงความบริสุทธิ์โอนเงินมาตรวจสอบถ้าไม่มีอะไรจะโอนเงินให้คืน จากการตรวจสอบพบมีเหยื่อถูกหลอกจำนวนมาก ให้โอนเงินเข้าบัญชี ฯ ของกลุ่มคนร้าย ประเมินมูลค่าความเสียหายนับ 100 ล้านบาท และยังมีประชาชนบางส่วนถูกล่อลวงหรือจ้างวานให้เปิดบัญชีธนาคาร เพื่อให้กลุ่มคนร้าย ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง มิให้ตกเป็นเหยื่อโดยตั้งสติให้ดี อย่าทำตามที่กลุ่มคนร้ายล่อลวงขอให้ปรึกษาผู้ที่มีความรู้และเชื่อใจได้หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา ร่วมกับพวกที่หลบหนีร่วมกันใช้ และมีไว้ใช้ เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเลคทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ