(สกู๊ป) เก็บตกรอบคัดเลือก "เวิลด์ คัพ 2018"

(สกู๊ป) เก็บตกรอบคัดเลือก "เวิลด์ คัพ 2018"

จบไปกว่า 80 เปอร์เซนต์สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ที่ได้ 23 ทีมสุดท้ายในการคว้าตั๋วไปเล่นมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งมวลมนุษยชาติ

     โดย 23 ทีมดังกล่าว ประกอบด้วย รัสเซีย (เจ้าภาพ) ทีมจากโซนเอเชีย 4 ทีม คือ อิหร่าน (แชมป์กลุ่มเอ),เกาหลีใต้ (รองแชมป์กลุ่มเอ), ญี่ปุ่น (แชมป์กลุ่มบี), ซาอุดิอาระเบีย (รองแชมป์กลุ่มบี), ทีมจากโซนยุโรป 9 ทีม คือ ฝรั่งเศส (แชมป์กลุ่มเอ), โปรตุเกส (แชมป์กลุ่มบี), เยอรมัน (แชมป์กลุ่มซี), เซอร์เบีย (แชมป์กลุ่มดี), โปแลนด์ (แชมป์กลุ่มอี), อังกฤษ (แชมป์กลุ่มเอฟ), สเปน (แชมป์กลุ่มจี), เบลเยียม (แชมป์กลุ่มเอช), ไอซ์แลนด์ (แชมป์กลุ่มไอ), ทีมจากโซนอเมริกาใต้ 4 ทีม คือ บราซิล (แชมป์), อุรุกวัย (รองแชมป์), อาร์เจนตินา (อันดับ 3), โคลอมเบีย (อันดับ 4), ทีมจากโซนคอนคาเคฟ 3 ทีมคือ เม็กซิโก (แชมป์), คอสตาริกา (รองแชมป์), ปานามา (อันดับ 3), และทีมจากโซนแอฟริกา 2 ทีมคือ ไนจีเรีย (แชมป์กลุ่มบี), อียิปต์ (แชมป์กลุ่มอี)

      อย่างไรก็ตามในการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 21 นี้ มีหลายทีมจากจำนวน 210 ชาติที่ลงแข่งขันซึ่งสร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการผ่านเข้ารอบชนิดที่เหนือความคาดหมายของสื่อต่างประเทศ รวมถึงมีบางทีมที่สมควรจะมีชื่อไปลุยแดนหมีขาว แต่กลับพลาดท่าตกรอบคัดเลือกแบบช็อกแฟนบอลไปตามๆกัน
   
ทีมตีตั๋วสุดเซอร์ไพรซ์
     ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ได้มีหลายชาติที่ได้ตีตั๋วไปลุยทัวร์นาเมนต์ที่ รัสเซีย แบบพลิกความคาดหมาย และถือเป็นการสร้างสีสันให้มหกรรมลูกหนังครั้งนี้เป็นอย่างมาก เริ่มจาก ไอซ์แลนด์ ชาติเล็กๆในทวีปยุโรปที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึกยูโร 2016 มาแล้ว ล่าสุดพวกเขาสามารถสร้างประวัติศาสตร์ไปเล่นฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรก หลังคว้าแชมป์กลุ่ม ไอ ในรอบคัดเลือกโซนยุโรปได้อย่างสวยงาม แม้จะมีดาวดังในทีมไม่มาก แต่พวกเขามาด้วยระบบการเล่นที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นทีมเวิร์คสูงจนหลายทีมใหญ่ต้องยอมศิโรราบ
     นอกจากนั้นพวกเขายังทำสถิติเป็นชาติที่มีขนาดเล็กที่สุดที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกได้ด้วยจำนวนประชากรเพียง 350,000 คน โดยก่อนหน้านี้เจ้าของสถิติชาติที่เล็กที่สุดที่ได้ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้แก่ ตรินิแดดแอนด์โตเบโก ซึ่งทำเอาไว้ในปี 2006 ในตอนที่พวกเขามีประชากร 1.3 ล้านคน
     ส่วนอีกชาติหนึ่งที่สามารถกรุยทางไปเล่นในฟุตบอลโลก 2018 ได้ นั่นก็คือ อียิปต์ ที่คว้าตั๋วไปเล่นรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มอี ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา หลังเอาชนะ คองโก ได้ 2-1 จากประตูชัยในช่วงนาทีที่ 90+5 ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
     โดยก่อนหน้านี้ เอคตอร์ คูเปร์ ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการเล่นที่เน้นผลการแข่งขัน และเน้นเกมรับมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลให้ทีมไม่ประสบความสำเร็จได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็พิสูจน์แล้วว่าการเล่นแบบแน่นอนทำให้ “ทัพมัมมี่” สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ ด้วยการกลับไปเล่นในศึกเวิลด์ คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี
     เช่นเดียวกับ ปานามา ทีมจากโซนคอนคาเคฟ ที่หักปากกาเซียนผ่านเข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ด้วยการคว้าอันดับ 3 ของกลุ่ม ด้วยการมี 13 คะแนนจาก 10 นัด พร้อมเขี่ย สหรัฐอเมริกา ยอดทีมประจำโซนตกรอบไปแบบไร้ข้อกังขา
   
บอลโลกที่ไร้ “ฮอลแลนด์” และ “ชิลี”
    อย่างไรก็ตามในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็จะไม่มีทีมดังระดับโลก ที่เคยประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติมาแล้วอย่างมากมายหลายต่อหลายทีม เนื่องจากไม่สามารถฝ่าด่านรอบตัดเชือดสุดหินไปได้
     เริ่มต้นที่รองแชมป์ฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมื่อปี 1974, 1978 และ 2010 อย่าง ฮอลแลนด์ ที่ประสบการณ์ในการเข้าสู่รอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกนั้นต้องเรียกว่าโชกโชนถึง 10 ครั้ง ซึ่งในครั้งนี้พวกเขาก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะไปฉายแสงที่แดนหมีขาวให้จงได้
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เริ่มตั้งแต่การจับสลากแบ่งสายที่พวกเขาต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ฝรั่งเศส, บัลแกเรีย, เบลารุส และลักเซมเบิร์ก ซึ่งถ้าดูผิวเผินแล้วมีเพียงทีม “ตราไก่” เท่านั้น ที่มีชื่อชั้น และนักเตะสูสีกับพวกเขา
     อย่างไรก็ตาม “อัศวินสีส้ม” กลับทำผลงานได้อย่างผิดคาดด้วยการพ่าย บัลแกเรีย 0-2 และแพ้ ฝรั่งเศส ทั้งไป และกลับ ด้วยสกอร์ 0-1 และ 0-4 ตามลำดับ รวมถึงการที่ สวีเดน เอาชนะ ลักเซมเบิร์ก ได้ถึง 8-0 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนให้พวกเขาต้องเจอสถานกาณ์ที่ลำบาก และได้ปลด แดนนี บลินด์ ออกจากตำแหน่งกุนซือพร้อมให้ ดิ๊ก อัตโวคาท เขามาทำทีมแทน ซึ่งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากนักด้วยหลายๆ องค์ประกอบ ทั้ง คุณภาพนักเตะที่ไม่ดีพอ รวมถึงแผนการเล่นที่ยังไม่เหมาะสมจนทำให้นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ฮอลแลนด์ ต้องเอาชนะ สวีเดน ให้ได้ถึง 7-0 จึงจะผ่านเข้าไปเล่นเพลย์ออฟได้ ซึ่งสุดท้ายแม้ ฮอลแลนด์ เอาชนะไปได้ 2-0 แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ และส่งผลให้พวกเขาต้องอกหักในพลาดไปลงเล่นในรอบสุดท้ายของ 2 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ติดต่อกัน ทั้ง ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018
ขณะที่อีกทีมที่พลาดไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้แบบผิดคาด คือ ชิลี ที่ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอดในการแข่งขันระดับนานาชาติในช่วงหลัง      ทั้งการคว้าแชมป์ศึกโคปา อเมริกา 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2015 และ 2016 รวมถึงเป็นรองแชมป์ "ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ" เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
     แต่ผลงานในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก กลับไม่เป็นตามใจหวัง แม้จะประเดิมได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะ บราซิล 2-0 แต่หลังจากนั้นฟอร์มของพวกเขากลับแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในการเล่นเป็นทีมเยือนที่ ชิลี หาชัยชนะแทบไม่เจอ รวมถึงการแพ้คาบ้านให้กับ ปารากวัย 0-3 ในเกมที่ 15 ของรอบคัดเลือก จนทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยประตูได้เสียที่น้อยกว่า เปรู ทีมอันดับ 5 ที่ได้โควต้าไปเล่นเพลย์ออฟ เพียง 2 ลูก และพลาดการไปเล่นเวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 10
     ส่วนทีมดังอื่นๆที่อกหักชวดไปเล่นฟุตบอลโลกหลังทำผลงานในรอบคัดเลือกไม่ดี ก็มีทั้ง สาธารณรัฐเช็ก, ยูเครน, เวลส์, ตุรกี และสหรัฐอเมริกา
   
เพลย์ออฟสุดระทึก
     ในขณะนี้แม้จะจบการแข่งขันในรอบคัดเลือกไปแล้วในเกือบทุกโซน แต่ก็ยังไม่ได้ 32 ทีมสุดท้ายในการลุยฟุตบอลเวิลด์ คัพ 2018 เนื่องจากจะต้องมีแชมป์ในโซนแอฟริกาอีก 3 กลุ่มที่ยังแข่งขันไม่จบได้เข้ารอบไป รวมถึงการแข่งขันในรอบเพลย์ออฟของแต่ละโซนจึงจะได้อีก 9 ทีมสุดท้ายที่คว้าตั๋วไปลงแข่งที่รัสเซีย
     เริ่มจากโซนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด นั่นก็ คือ โซนยุโรป เนื่องจากมีบิ๊กทีมมากมายอยู่ในการเพลย์ออฟดังกล่าว ซึ่งมาจากรองแชมป์ที่ดีที่สุดรวม 8 ชาติ ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลี, เดนมาร์ก, โครเอเชีย, สวีเดน, ไอร์แลนด์เหนือ, ไอร์แลนด์ และ กรีซ เพื่อเฟ้นหา 4 ชาติ ในการเข้ารอบสุดท้ายต่อไป และจะมีการจับสลากประกบคู่ในวันที่ 17 ต.ค.นี้
     ส่วนการเพลย์ออฟในโซนอื่นๆ ฮอนดูรัส อันดับ 4 จากโซนคอนคาเคฟ จะพบกับ ออสเตรเลีย อันดับ 5 จากโซนเอเชีย และนิวซีแลนด์ แชมป์จากโซนโอเชียเนีย จะพบกับ เปรู อันดับ 5 ของโซนอเมริกาใต้ โดยจะแข่งขันกันแบบเหย้าเยือนในวันที่ 6 และ 14 พ.ย.นี้
       ช่วงกลางเดือน พ.ย. นี้ เราจะได้ทราบกันแล้วว่าโฉมหน้าของทั้ง 32 ทีมที่ไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก 2018 ว่าจะมีทีมใดบ้าง รวมถึงจะมีชาติใดที่สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบได้แบบผิดคาด หรือตกรอบแบบพลิกความคาดหมายอีกบ้าง