เปิด 5 ข้อสำคัญ รู้ไว้ไม่ติดดอย!!

เปิด 5 ข้อสำคัญ รู้ไว้ไม่ติดดอย!!

"บล.บัวหลวง" เปิด 5 เรื่องน่ารู้ … ยามตลาดหุ้นขึ้นสูง ย้ำ!! รู้ไว้ไม่ต้องยืนหนาวบนดอย

นายปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์ นักวางแผนการลงทุน บล.บัวหลวง เปิด 5 เรื่องน่ารู้ยามตลาดหุ้นขึ้นสูง โดยระบุว่า

1. ตลาดหุ้นขึ้น-ลง เป็นเรื่องปกติ
ในวันที่ตลาดหุ้นไทยยืนเหนือ 1,700 นั้น หลาย ๆ คนคงมีทั้งความรู้สึกมั่นใจ และลังเลใจคละเคล้ากันไป เพราะย้อนไปเมื่อเดือนเศษ ๆ ตลาดหุ้นไทยยังป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ 1,550 จุดอยู่เลย วันนี้มันทะลุ 1,700 ไปแล้ว! บางคนมีหุ้น อยากขายก็ยังลังเล กลัวจะขึ้นต่อ แล้วกลายเป็นขายหมู บางคนอยากซื้อก็กลัว ๆ ว่าจะติดดอย แต่ผมจะบอกว่า การขึ้นลงของหุ้นมันเป็นเรื่องปกติ และตลาดหุ้นมันพร้อมจะขึ้น และลงได้ทุกวินาที ฉะนั้นคำถามที่คุณควรจะถามตัวเองมากที่สุด ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณควรซื้อหุ้น หรือขายหุ้น แต่ควรเป็น "คุณจะซื้อหุ้น หรือขายหุ้น เพราะอะไร ???"

2. ความเสี่ยงของการจับจังหวะตลาด
การซื้อขายบ่อยเกินความจำเป็น หรือการพยายามที่จะจับจังหวะการลงทุนนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการลงทุนน้อยที่สุด แถมยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะตัดสินใจผิดพลาดด้วยซ้ำ เรื่องนี้มีบทวิจัยที่ช่วยยืนยัน โดยย้อนไปปี 1986 นิตยสาร Financial Analysts Journal ได้ตีพิมพ์บทวิจัยชิ้นนึง ซึ่งเป็นการศึกษาว่าเมื่อเราลงทุนในระยะยาว อะไรเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนของเรา และผลที่ออกมาต่างก็ทำให้หลาย ๆ คนแปลกใจ เพราะการจับจังหวะตลาด มีผลต่อการลงทุนเพียง 2% เท่านั้น ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลที่สุดคือ "การจัดสรรพอร์ต" หรือ Asset Allocation ที่มีผลต่อการทำกำไรถึง 93.6% ครับ

3. จง Focus ที่ตัวหุ้น/บริษัท
ในบทความครั้งก่อนผมได้พูดถึงกฏการลงทุนของ ปีเตอร์ ลินช์ อดีตผู้จัดการกองทุนชื่อดังที่สุดคนนึงในยุคปัจจุบัน โดย 1 ในนั้นมีการกล่าวถึงการลงทุนว่า "อย่าซื้อหุ้น เพียงเพราะคุณคิดว่ามันจะขึ้น และอย่าขายหุ้น เพียงเพราะคุณคิดว่าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม" แต่จงซื้อ หรือขายหุ้นนั้น เมื่อยามที่พื้นฐานของบริษัทมันเปลี่ยนแปลง จากบริษัทธรรมดา กลายเป็นสุดยอดบริษัท หรือจากสุดยอดบริษัท กำลังจะถดถอย

4. ถ้าไม่ซื้อหุ้น คุณจะเอาเงินไปไว้ไหน?
ในบรรดาสินทรัพย์ลงทุน หุ้นขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างผลตอบแทนได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ อยู่แล้ว ถ้าวันนี้คุณขายหุ้นเพียงเพราะว่าคิดว่ามันขึ้นมาเยอะ … วันนี้คุณจะเอาเงินไปไว้ไหน? เงินฝาก? ตู้เซฟที่บ้าน? ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าคุณกำลังลืมคิดถึงเรื่อง "เงินเฟ้อ" เพราะในวินาทีที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเขาคาดว่าด้วยแนวโน้มของเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว มันกำลังดันให้เงินเฟ้อทั่วโลกสูงขึ้น และเจ้าตัวเงินเฟ้อเนี่ยแหละ ที่จะทำให้เงินฝากในบัญชีของคุณมันมีค่าลดลงเรื่อย ๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเอาเงินทั้งหมดมาใส่ในหุ้นนะ แต่คุณต้องจัดสรรกระเป๋าเงินตัวเองไว้ให้พอเหมาะครับ

5. การลงทุนเป็นเรื่องของเวลา
เมื่อคุณตัดสินใจลงทุนในหุ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ “การลงทุนเป็นเรื่องของเวลา” มันเป็นเรื่องของเวลาจริง ๆ ครับ ไม่เชื่อคุณลองดูหุ้นใหญ่ ๆ ในตลาดซิ ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่าง AOT ที่ถ้าคุณซื้อหุ้นนี้ตอนต้นปี 2012 ที่ราคา 4 – 5 บาท (ราคา Par ใหม่) แล้วสิ้นปีคุณขายออกไปตอนราคา 8 – 9 บาท คุณได้กำไรอย่างน้อย ๆ 1 เด้งในเวลาไม่ถึงปี แล้วคุณก็ออกจากตลาดไปอย่างมีความสุข … แต่วันนี้ หุ้นตัวนี้ราคาอยู่เกือบ ๆ 60 บาท หรือขึ้นมา 10 กว่าเท่าในเวลาเพียง 5 ปีเศษ ๆ เท่านั้นเองครับ เรื่องนี้มันกำลังบอกคุณว่า "ถ้าคุณลงทุนในหุ้นถูกตัว แล้วคุณให้เวลามันให้มากพอ เรียนรู้ที่จะทนรวยได้ หุ้นนั้นจะเป็นเครื่องผลิตเงินให้คุณเอง" หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า "Big Shot" นั่นแหละครับ

สุดท้ายแล้ว… ในช่วงเวลาที่หุ้นไทยกำลังติดลมบนแบบนี้ ใครที่ยังลังเล ไม่รู้จะซื้อหรือขาย ผมคิดว่าเราลองมองดัชนีให้น้อยลง แล้วกลับมามองหุ้นในพอร์ตให้มากขึ้น มาอัพเดทว่าหุ้นนั้นยังมีโอกาสทางธุรกิจอยู่ไหม ผลกำไรมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ผมเชื่อว่าคุณจะได้คำตอบที่ตามหาอยู่อย่างแน่นอนครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก "ปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์" และ "บล.บัวหลวง"