MORNING CALL ACTION NOTES (10 ต.ค.60)

MORNING CALL ACTION NOTES (10 ต.ค.60)

พักฐาน

ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้อ่อนตัวลงจากแรงขายกลุ่มพลังงานและปิโตรฯหลังราคาน้ำมันทรุดหลุด 50 US/Barrel อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อในกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินหลัง ICAO ปลดล็อกธงแดงไทย ส่งผลให้ SET ปิดลบเล็กน้อยที่ 1,692.22 จุด (-3.75 จุด) Vol. 4.7 หมื่นลบ. โดย Foreign Net +703 ลบ.  TFEX Net +287 สัญญา ตราสารหนี้ -391 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

- สำนักข่าว RIA ของรัสเซียรายงานว่าเกาหลีเหนือเตรียมทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกลที่สามารถไปไกลถึงชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ โดยคาดว่าอาจยิงทดสอบในวันนี้ซึ่งตรงกับวันก่อตั้งพรรคแรงงานแห่งเกาหลี

+/- ตลาดหุ้น DJ อ่อนตัวเล็กน้อย จากแรงขายกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพหลังบริษัทอเมซอนดอทคอม อิงค์ กำลังพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเพื่อสุขภาพ รวมถึงรอติดตามผลประกอบการ Q3/17 ของธนาคารรายใหญ่ในสัปดาห์นี้

+ น้ำมันดีดตัวขึ้นล่าสุด 49.7 US/Barrel หลังสมาชิกโอเปกกำลังหารือขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันให้เกินกว่าเดือนมี.ค.2017

+ ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก หลังประชาชนในแคว้นกาตาลุญญาออกมาประท้วงคัดค้านการแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ของเยอรมัน +2.6% MoM

+/- Fund Flow มีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับแต่ตั้งแต่เดือนก.ย. TFEX เป็น Net Short ราว 1 แสนสัญญา.

- คลังปรับลดเพดานภาษีบ้าน ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปต้องเสียภาษี จากเดิม 50 ล้านบาท มีผู้เข้าข่ายต้องจ่ายภาษีใหม่เพิ่มขึ้น 3 หมื่นราย ยืนยันมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม ปี 2562 (ข่าวหุ้น)

** การ Preview งบ Q3/17 ของกลุ่มธนาคาร                  

** 11 ต.ค. FOMC เปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 19-20 กันยายน

ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงได้แรงหนุนจากแรงซื้อดักผลประกอบการ Q3/17 รวมถึงแรงซื้อหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม Fund Flow ต่างชาติที่ชะลอตัวรวมถึงภาวะ Overbought ทางเทคนิคจะกดดันต่อดัชนี ดังนั้นประเมินว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,685 - 1,700 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน

- TTA  PSL  RCL อานิสงส์ค่าระวางเรือ + 8% WoW ล่าสุด 1,411 จุด

- PDI ราคาสังกะสีทำ New High รอบ 10 ปีล่าสุด 3,233 US/Ton

- กลุ่มที่คาดว่างบ Q3/17 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ PTTGC TOP IRPC BCP BCPG  HARN FTE  ASIMAR  ATP30 JWD  ERW CKP COMAN SYNEX XO TPCH

 

หุ้นแนะนำพิเศษ

HMPRO (ราคาปิด 12.10 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 11.85)

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ 75.0 จาก 5 ในส.ค.60 ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
  • แนวโน้ม 3Q60 ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรมีแนวโน้มสูงสุดรายไตรมาสใน Q4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นเป็นประจำทุกปี ขณะที่กำไรทั้งปีมีแนวโน้มเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่ การควบคุมคชจ. การปรับกลยุทธ์สู่ไลน์สินค้าใหม่ การขายสินค้าออนไลน์
  • Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 60 ราว 4,645 ลบ. +13% ในช่วง 1H60 มีกำไรสุทธิ 2,177 ลบ. +5%YoY ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER 36 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ระดับ 32 เท่า แนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว

หุ้นเริ่มซื้อขายวันแรก : TOA (ราคา IPO 24 บาท)

  • บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวชั้นนำของไทย ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (69% ของรายได้รวม)  2.ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (28% ของรายได้รวม) ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงงานตั้งอยู่ทั้งในและต่างประเทศรวม 8 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 3 แห่ง และมีสำนักงานขายตั้งอยู่ในตลาดสำคัญในเขตอาเซียนหลายๆประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา  1H60 มีกำไรสุทธิ 894 ลบ.  ลดลง 37%YoY เนื่องจากรายได้ลดลง 7.5%YoY ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ Gross Margin ลดเหลือ 35% จาก 38.9% ใน 1H59 ส่วน Net Margin ลดเหลือ 11.5% จาก 16.6% ใน 1H59
  • จำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนรวม 507.6 ล้านหุ้น แบ่งเป็น 1)หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 254 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมจำนวน 253.6 ล้านหุ้น
  • การจัดสรรเงินทุนที่ได้จากการเสนอขาย IPO มูลค่าประมาณ 3-5.8 พันลบ. ใช้ภายในปี 62 หลักๆเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเงินทุนเพื่อการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพภายในบริษัท ประมาณ 2.1 พันลบ. และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 3.8-3.9 พันลบ. เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
  • ราคา IPO คิดเป็น Current PER ที่ 4 เท่าเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกันมี PER เฉลี่ยที่ 32.48 เท่า ปัจจุบันกลุ่ม CONMAT ใน SET ซื้อขายที่ PER 13.3 เท่า

หุ้นมีข่าว   

Ø  PACE ชี้แจงข้อมูลของการเข้าทำข้อตกลง Consent Conditions Undertaking (CCU) กับผู้ลงทุนทั้ง 3 ราย ดังนี้ 

          1) ที่มาของ CCU เนื่องจาก เพซ โปรเจ็ค ทู(ทำธุรกิจที่พักอาศัยในโครงการมหานคร)ทำสัญญากู้ยืมเงินจากเพซ โปรเจ็ค วัน(ทำธุรกิจโรงแรมในโครงการมหานคร) และเพซ โปรเจ็ค ทรี (ทำธุรกิจศูนย์การค้าและจุดชมวิวในโครงการมหานคร)โดยมีข้อตกลงว่าเพซ โปรเจ็ค ทูจะไม่ก่อภาระหนี้สินเพิ่มอีก  แต่เพซ โปรเจ็ค ทู มีความจำเป็นต้องก่อภาระหนี้สินเพิ่มจึงต้องเข้าทำ CCU กับผู้ลงทุนทั้ง 3 รายเพื่อขอความยินยอมให้เพซ โปรเจ็ค ทู กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน 3,000 ลบ.เพื่อชำระหนี้  ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มผู้ร่วมทุนเพื่อขอยกเลิก CCU ฉบับดังกล่าว

          2) การทำ CCU มีผลให้บริษัทมีภาระผูกพันรวม 3,747.6 ล้านบาท แบ่งเป็นภาระผูกผันในการซื้อหุ้นบุริมสิทธิกลุ่ม ค ในเพซโปรเจ็ค วัน และ เพซ โปรเจ็ค ทรี จำนวน 3,038.8 ลบ.บวกกับผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิอีก 708.8 ลบ. ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 28 ส.ค. 2561 หรือวันที่บริษัทมีทุนเพียงพอ

          3)  การทำ CCU มีผลให้บริษัทต้องแสดงภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น 3,038.8 ลบ. ในงวด 3Q60  หากไม่สามารถยกเลิก CCU ฉบับดังกล่าวได้ ส่วนผลตอบแทน 708.8 ลบ.จะทยอยรับรู้ในงบการเงินรวมจนถึงวันที่บริษัททำการซื้อหุ้นบุริมสิทธิคืน โดยต้องบันทึกดอกเบี้ยค้างจ่าย 258.6 ลบ. เนื่องจากผู้ร่วมทุนยังคงมีสิทธิในการบริหารงานและการออกเสียงเช่นเดิมในฐานะผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิกลุ่ม ข

Ø  MODERN (ราคาปัจจุบัน 4.94 บาท Bloomberg Consensus 5.03 บาท)เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์สำหรับออฟฟิศสำนักงาน และครัวเรือน แบบ High-end เน้นจำหน่ายให้กับลูกค้าเป็นโครงการกว่า 80% ปัจจุบัน Backlog ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท เตรียมส่งมอบในช่วง 2Q60 - 1H61 ขณะที่มีความพยายามปลุกปั้นธุรกิจการแพทย์ MHC (MODERN ถือหุ้น 95%) ที่มีการดำเนินธุรกิจมากว่า 12 ปี ในด้านการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และรับเหมาห้องผ่าตัด จนปัจจุบันสร้างรายได้ให้บริษัทราว 5 - 10% นอกจากนี้ ยังมีแผนปั้นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ตัวใหม่บุกตลาด Low-end ที่มีขนาดใหญ่ในอนาคต

Ø  Backlog ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ทำระดับสูงจากการส่งมอบล่าช้าอาจเป็นผลบวกเพียงช่วงสั้น แต่เชื่อว่า MHC จะเป็นปัจจัยสร้างการเติบโตหลักในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากเริ่มขยายไลน์สินค้าไปยังกลุ่มใช้แล้วหมดไป และขยายขอบเขตการรับเหมาห้องผ่าตัดจากเดิม ช่องท้องและกระดูก โดยเพิ่ม ส่วนหัวใจและห้องคลอด ส่วน UICC ที่มีการเพิ่มทุนไปช่วงก่อนหน้า (MHC และ MODERN ถือหุ้นรวม 40%) น่าจะเป็นอีกการลงทุนหลักที่น่าติดตาม เนื่องจากวางแผนเปิดเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคมะเร็ง โดย MODERN ยังคาดหวังเงินปันผลได้ราวปีละ 5%

Ø  PRM (ราคาปัจจุบัน 11.20 บาท) เป็นผู้ได้รับสัมปทานให้บริการเรือจัดเก็บน้ำมันแบบลอยน้ำ (FSU) ในท่าเรือมาเลเซีย โดยมีกองเรือให้บริการใหญ่สุดในท่าเรือดังกล่าว (รายได้จาก FSU สัดส่วน 47%) ปัจจุบัน ยังคงแผนขยายกองเรือปี 60 ที่ 6 ลำ ปี 61 ที่ 10 ลำ

Ø  นอกเหนือจากการขยายกองเรือ โอกาสของธุรกิจในอนาคตของ PRM ยังมีมาจากกฏเกณฑ์จาก IMO คือ การบังคับให้ผู้ประกอบการเดินเรือ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า Sulfur ลดลงจากเดิมที่ 2% มาอยู่ที่ 0.5% น่าจะหนุนความต้องการที่จัดเก็บและผสมน้ำมัน (FSU) เพื่อ Dilute อัตราส่วน Sulfur ส่วนแผนขยายกองเรือดังกล่าว มี Demand รองรับจากการเจรจาไว้แล้วเป็นส่วนใหญ่ จึงน่าจะสร้างรายได้ทันทีที่เข้าทำการ อย่างไรก็ตาม โดยปรกติ 2Q60 - 3Q60 เป็นช่วง low season ของธุรกิจ ส่วน 4Q60 จะพลิกกลับเป็น High season อีกครั้ง

Ø  CRANE งานฐานรากทะลัก พอร์ตเช่าโต หนุนครึ่งหลังปี 2560 เทิร์นอะราวด์ ผู้บริหารการันตีปี 2560 รายได้ตามฝันพุ่ง 30% จากปีก่อนที่ราว 659 ล้านบาท ลูกค้าวางใจป้อนงานรับเหมาเพียบ แถมเดินหน้าสอยงานใหม่โครงสร้างพื้นฐานเต็มสูบ เปิดช่องโกยเงินเพิ่ม พร้อมเดินหน้าชงบอร์ดเคาะแผนอัพแกร่งเพิ่ม คาดสรุปได้ช่วงปลายปีนี้ (ที่มา : ทันหุ้น)

Ø  ความเห็น ในช่วง 3Q60 ของ CRANE ยังคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจาก 3 ส่วนหลัก คือ งานรับเหมาเสาเข็มต่อเนื่องจาก 1H60 การขายรถเครนขนาดใหญ่สุด และงานติดตั้งกังหันลม สร้างผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง QoQ   อย่างไรก็ตาม กำไรปี 61 ของ CRANE ยังคงต้องรอติดตามการเข้าประมูลรถไฟฟ้างานรับเหมาเสาเข็ม ของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่คาดจะเริ่มมีการทำงานฐานรากช่วง 1H61 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นสมมติฐานสำคัญสำหรับการเติบโตที่ก้าวกระโดด (60 - 70% ของรายได้ปี 61)

Ø  SIM เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"สามารถ ดิจิตอล" พร้อมใช้ชื่อย่อ SDC ตั้งแต่ 12 ต.ค.60

Ø  CCET แจ้งยอดขายประจำเดือน ก.ย.60 มีจำนวน 9.23 พันล้านบาท (-0.2% YoY และ -6.8% QoQ)     ขณะที่ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกปี 60 อยู่ที่ระดับ 7.84 หมื่นล้านบาท (- 2.8% YoY)