2ทายาทโอเอ.ร้องกองปราบ โวยคดีลอบวางเผาบริษัทฯไม่คืบ

2ทายาทโอเอ.ร้องกองปราบ โวยคดีลอบวางเผาบริษัทฯไม่คืบ

"วสุรัตน์-สายทิพย์" 2ทายาทโอเอ. ร้องกองปราบ โวยคดีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาบริษัทฯพื้นที่ภูเก็ต ไม่คืบหน้า หลังเวลาผ่านมา 5 ปี แต่เรื่องยังเงียบ เผยอยากให้นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะมีผู้มีอิทธิพลเป็นตำรวจใหญ่ อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ

จากกรณีกลุ่มคนร้าย สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า เข้าไปทำร้ายร่างกาย จับมัดมือมัดเท้านายอนุชิต ไชยทองงาม อายุ 34 ปี ชาว อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท ภูเก็ตเฮลตี้ นูทรีเม้น จำกัด จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นได้เข้าไปใช้น้ำมันที่เตรียมมาราดแล้วจุดไฟเผา ภายในตัวอาคารของบริษัททำให้ได้รับความเสียหายมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 23 เม.ย. 2555

ต่อมาภายหลังตำรวจ สภ.ฉลอง ได้จับกุม นายสุรชัย ทองขลิป และต่อมาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2559 ตำรวจกองปราบปราม สามารถจับกุมนายสุวรรณ ทองเพิ่มพลอย และได้ขยายผลจับกุมนายยุทธนา การมาสม ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 ต.ค.2560 นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี และน.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี สองทายาทกลุ่มบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด พร้อมด้วย นายอนุชิต ไชยทองงาม รปภ.ที่ถูกรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีทำร้ายร่างกาย และเหตุเพลิงไหม้บริษัท ภูเก็ตเฮลตี้ นูทรีเม้น จำกัด พร้อมร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจกองปราบปราม ขอให้เร่งรัดติดตามจับกุมผู้อยู่เบื้องหลัง ก่อเหตุเผาบริษัทเมื่อปี 2555 และทำร้ายร่างกายนายอนุชิต จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและพิการจนถึงปัจจุบัน

น.ส.สายทิพย์ กล่าวว่า ในวันนี้ได้พานายอนุชิต ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท ภูเก็ตเฮลตี้ นูทรีเม้น จำกัด ที่ได้รับบาดเจ็บ เข้ามาติดตามความคืบหน้าคดี ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นหนึ่งในบริษัทของเรา แต่จนถึงตอนนี้ผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว ปรากฏว่าไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงผู้จ้างวาน ทั้งนี้ หนึ่งในคำให้การของนายยุทธนา การมาสม ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุ ได้ให้การซักทอดไปถึงอดีตนายตำรวจสังกัดตำรวจท่องเที่ยว และนักธุรกิจชาวจีนคนหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งนักธุรกิจชาวจีนคนนี้ อดีตเคยเป็นไกด์มาก่อน และได้ขอเป็นตัวแทนจำหน่ายกับทางบริษัทฯ แต่ทางบริษัทฯได้ให้การปฏิสธไป

ต่อมาทราบว่า ได้ไปแต่งงานกับอดีตนายตำรวจสังกัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหลานสาวของอดีตนายตำรวจยศใหญ่ท่านหนึ่ง จากนั้นก็ได้เปิดธุรกิจแข่งขันกัน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าหลังจากบริษัทฯถูกเผา ครอบครัวของตนเองถูกข่มขู่คุกคามมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกดำเนินคดีฐานอังยี่และฟอกเงิน แต่สุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้อง จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมจากตำรวจกองปราบปราม ให้เร่งติดตามรวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีที่บริษัทถูกเผา และขอร้องนายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบริษัทในเครือของโอเอทั้งหมดอย่างละเอียด ซึ่งเชื่อว่าหากมีการตรวจสอบแบบตรงไปตรงมา นายกรัฐมนตรีจะทราบความจริงทั้งหมด และจะให้ความเป็นธรรม

น.ส.สายทิพย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบ ตรวจค้นบริษัทของเรา และได้ไปตรวจสอบบริษัทอื่นๆ ที่กระทำในลักษณะคล้ายกับเรา แต่ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ สำหรับคดีที่พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล ได้แจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกว่า 29 บริษัท ในส่วนนี้เป็นของบริษัทในเครือโอเอ จำนวน 6 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับรถบัสโดยสารนั้น ก็เป็นบริษัทที่เราได้ถูกยึดอายัดทรัพย์สินไปตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งยอมรับว่าธุรกิจของครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทรัพย์สินทั้งรถยนต์ และเงินสดในธนาคารถูกอายัดไว้ตรวจสอบ จนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทำให้ธุรกิจของบริษัทโอเอและบริษัทในเครือเสียหาย

ด้านพ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้ให้ทางกลุ่มผู้เสียหายเดินทางไปสอบถามกับทางพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ว่าได้มีการดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด หากไม่ได้รับความเป็นธรรมให้เดินทางมาอีกครั้ง เนื่องจากต้นเรื่องอยู่ที่ สภ.ฉลอง อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ทางผู้เสียหายกลัวว่า จะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี