LOVE&LIFE บอย โกสิยพงษ์

LOVE&LIFE  บอย โกสิยพงษ์

นอกจากแต่งเพลง เขายังมีเรื่องอื่นๆ ที่อยากทำให้สังคม และอยากให้เป็นโมเดล เพื่อให้คนอื่นสานต่อ

..............

บอย โกสิยพงษ์ บอกว่า “ผมเป็นนักแต่งเพลงธรรมดาๆ"

แล้วเหตุใด เขาจึงอยากทำธุรกิจเพื่อสังคม และต้องเป็นระบบที่มีเครือข่าย ไม่ได้การกุศล

จากบริษัท LOVEiS เขาเพิ่มสิ่งที่อยากทำอีก LIFEis โดยร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ที่อยากทำเรื่องนี้

ณ ปัจจุบัน เขาสนใจเรื่ององค์รวมของชีวิต หรือจะเรียกว่า วิชาชีวิตก็ได้ โดยการปลูกความคิด แลกเปลี่ยน เรียนรู้และลงมือทำ เพื่อให้มีผลที่ดีต่อสังคม

ไม่ว่าจะเรื่องการหาตัวตนให้เจอตั้งแต่วัยรุ่น พวกเขาจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ เพราะเขาเอง ก็เคยถูกตราหน้าว่า เด็กโง่ เรียนไม่เก่ง และเคยเป็นคนหนุ่มช่างฝัน ทั้งประสบความสำเร็จและกลัวความล้มเหลว กลัวคนที่เขารักจากไป และเคยมีปัญหาชีวิตคู่ เคยเป็นโรคซึมเศร้า จนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย และในที่สุดสามารถปลดล็อคความทุกข์ได้

ในวัย 50 ชีวิตเริ่มคลี่คลาย เขาบอกว่า “ถ้าผมตาย ผมรู้แล้วว่า ผมจะไปไหนต่อ ผมจะไปสวรรค์ ให้พระเจ้านำทาง”

ถ้าคุณเชื่อว่า “สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นด้วยสายตา” เหมือนเช่นในวรรณกรรมเจ้าชายน้อย คุณลองอ่านบรรทัดต่อไป....

 

คนส่วนใหญ่มองว่า คุณแต่งเพลงได้ไพเราะและดูโรแมนติก แต่ชีวิตคู่ช่วงหนึ่งของคุณก็มีปัญหาเหมือนกัน ?

ก่อนหน้านี้ภรรยาผมเคยไม่เข้าใจว่า ผมรักเธอขนาดไหน ผมก็เลยเป็นทุกข์ อย่างผมเป็นนักแต่งเพลง ผมชอบเขียนและพูด ภาษารักที่ผมบอกภรรยา เธอไม่ได้ยิน เพราะเป็นภาษารักคนละแบบ สิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกัน เราไม่เข้าใจกันในเรื่องนี้

จนเมื่อผมเข้าใจภาษารัก ผมช่วยเธอซักผ้า อบผ้า เพราะเธอเป็นคนชอบการบริการ ทำบ้านให้เรียบร้อย เธอก็ได้รู้ว่า ผมรักเธอ ถ้ามันง่ายแบบนี้ ผมทำมานานแล้ว ในคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า ให้เรารักภรรยาเหมือนรักตัวเอง ผมพยายามหาเรื่องนี้มาตลอดชีวิต ตั้งแต่แต่งงานมายี่สิบปีและได้เจอ ผมก็เลยอยากทำกิิจกรรมเรื่องนี้ให้คู่ชีวิตทุกคน ห้าปีที่แล้วผมเข้าใจเรื่องนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นการเติมรักซึ่งกันและกัน

คอร์สเกี่ยวกับชีวิตคู่ เป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจเพื่อสังคมของไลฟ์อีสด้วยใช่ไหม?

ภาษารักมีหลายแบบ อาทิ ภาษาที่สื่อถึงการให้เวลาซึ่งกันและกัน ลูกสาวคนเล็กผม ชอบการใช้เวลาด้วยกัน ผมไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ไปนั่งดูทีวีและเล่นเกมกับเขา เขาจะมีความสุขและรู้สึกว่าผมรักเขามาก ส่วนลูกคนโตชอบการกอด ชอบสัมผัส ซึ่งเป็นภาษากอดและสัมผัส นอกจากนี้ยังมีภาษารักที่แสดงออกด้วยการซื้อของขวัญหรือทำของขวัญให้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นการบริการเป็นเรื่องที่มีค่าเลย แต่มันเป็นภาษารักอย่างหนึ่งที่ผมนำมาใช้กับภรรยา

เหตุใดจึงหันมาทำธุรกิจเพื่อสังคมอีกงานในชีวิต

7-8 ปีที่แล้ว เราเห็นว่าทำไมคนถึงเกลียดกันเยอะมากในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ถ้าเรากลับไปเปลี่ยนอดีตไม่ได้ เราก็ต้องปลูกอนาคต ผมกับนภ พรชำนิ และหลายคนคุยกันว่า ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อทำงานสังคม โดยมีพันธมิตรสนับสนุน เราไม่ได้หมายความว่ าเราต้องทำกับคนเป็นแสนเป็นล้าน ไม่กี่คนก็พอแล้ว

ผมจะทำให้เห็นว่า การทำธุรกิจเพื่อสังคม ไม่จำเป็นต้องอดอยาก มีรายได้ที่ดีได้ อยากให้คนมาช่วยกันทำ ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ปล่อยให้รัฐบาลดูแลสังคมอย่างเดียว ถ้าให้เอกชนมาช่วยดูแลสังคมด้วย เราจะขับเคลื่อนไปด้วยกัน ผมเชื่อว่า ถ้าเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เราก็จะเข้าใจเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ เราจะมั่นใจว่าเราไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวเราอย่างเดียว เรามีชีวิตเพื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ได้โมเดลเหล่านี้มาจากไหน

เราก็ทำแบบมั่วๆ ก่อน จนได้เจอคนที่เป็นำประธาน Inspire Scotland เขาบอกว่า สิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ เป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จมากในสกอตแลนด์ สิ่งที่เราทำไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน การทำธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีระบบธุรกิจเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ใช่ว่าทำเป็นมูลนิธิ โดยปลูกความคิดในใจคน ไลฟ์อีสก็จะทำหน้าที่เป็น HUB เพื่อเชื่อมโยงประสานเรื่องต่างๆ ให้บริษัทที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมขับเคลื่อนไปด้วยกัน

กิจกรรมเป็นลักษณะแบบไหน

กิจกรรมมีตั้งแต่เด็กถึงสูงวัย ถ้าเป็นช่วงวัย 0-5 ปี เรามีบริษัทของน้องเพลิน พรชำนิ (ภรรยานภ พรชำนิ) เป็นผู้ดูแล เป็นเรื่องการพัฒนาศักยภาพเด็ก เพลินเป็นคนหนึ่งของโลกที่มีความสามารถในการออกแบบการพัฒนาศักยภาพของเด็ก ก่อนหน้านี้เธอเคยทำคอร์สให้เด็กพิเศษ เราก็จะทำทั้งคอร์สเด็กพิเศษและเด็กธรรมดา

ส่วนกิจกรรมสำหรับอายุ 6 ขวบ-ประถม 6 ก็จะมีโครงการของโต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ทำเรื่องดนตรีกับสมาธิ ฯลฯ, ส่วนเด็กในช่วงมัธยมปีที่ 1-3 ผมกับไลฟ์ วาระ มีชูธน ซึ่งเคยโดนไล่ออกจากโรงเรียน สอบได้คะแนนแย่มาก เราก็เลยเข้าใจว่า การถูกเรียกว่าโง่เป็นยังไง ผมกับไลฟ์จะช่วยกันท ำผมอยากให้คนรู้ว่า พหุปัญญาไม่ได้มีแค่วิทย์กับศิลป์ ยังมีมิติอื่นๆ ผมไปบรรยายในโรงเรียน เดือนหนึ่งก็สองสามครั้ง ตอนนี้ก็ทำไปได้ปีครึ่ง

กิจกรรมที่ทำกับเด็กๆ ในโรงเรียนเป็นอย่างไร

ผมเริ่มจากเล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟังว่า ผมเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนและสอบตก ผมเคยคิดว่า ผมโง่สุดๆ นึกไม่ออกว่า อนาคตตัวเองจะเป็นยังไง แต่ถ้าผมอยากเป็นนักแต่งเพลง ผมก็ต้องปลูกสิ่งนั้น เรียนให้ถูกทาง เวลาผมคุยให้เด็กๆ ฟัง จะมีพ่อแม่ของเขาและครูมาฟังด้วย

เราอยากจะบอกพ่อแม่และครูว่า ถ้าเด็กทำข้อสอบไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าโง่ ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่จะช่วยสนับสนุนลูกๆ ยังไง ถ้าเด็กๆ ได้ทำ ได้เรียน ในสิ่งที่ตัวเองรัก ก็จะดีต่อประเทศ

ส่วนคอร์สสำหรับเด็กมัธยมปีที่ 4 -6 ทางอุ๋ย บุดดา เบลส จะมาช่วยทำส่วนนี้ โดยเขาใช้การขับเคลื่อนของฮอร์โมนวัยหนุ่มสาวทำกิจกรรม และกลุ่มหนุ่มสาว โจอี้ บอย ก็จะพาคนไปเรียนรู้การใช้ชีวิต ปีนเขา ร่มบิน อย่างการปลูกป่าที่น่าน โจอี้ก็พาคนไปมาแล้ว และสุดท้าย พี่ต้อย –เศรษฐา ศิระฉายา จะมาร่วมแคมป์วัย 65 มีกิจกรรมสอนไอแพค ร้องเพลง เต้นรำ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนได้กลับมาโรงเรียนอนุบาลอีกครั้ง ฯลฯและอีกหลายกิจกรรม อาทิ สอนการสื่อสารให้รู้ว่าสมองคนเราถูกใช้ยังไง เวลาเราดุลูก ลูกจะใช้สมองส่วนหลังคือ ความจำ ปกป้องตัวเองมากกว่าใช้สมองส่วนหน้า

ถ้าอย่างนั้น คุณต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม

ผมไม่ต้องเรียนอะไร ผมเอาคนที่เก่งมาทำ สร้างเครือข่าย จัดกิจกรรม ผมหาทุน จัดการให้หมด ผมอยากทำให้ไลฟ์อีสเป็นต้นแบบ ถ้าบริษัทเอกชนอยากทำเพื่อสังคม อาจมาร่วมกับเรา

เปิดกว้างสำหรับคนมีไอเดีย?

ไลฟ์อีสยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ จะเปิดในคอนเสิร์ตนภ พรชำนิ วันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2560 จะมีคอร์สต่างๆ ให้คนเลือก เสมือนการพัฒนาชีวิต ไลฟ์อีสเป็นเสมือนไลฟสไตล์ที่อยู่เพื่อส่วนร่วม ไม่จำเป็นต้องมีสถานที่เรียนเป็นหลักแหล่ง

การทำธุรกิจเพื่อสังคมแบบนี้ คุณคาดหวังอะไรบ้าง

หวังว่า 10-20 ปีข้างหน้ามันจะออกดอกผลให้คนอื่นปลูกต่อ เพราะบริษัทเดียวคงไม่มีทางทำได้ทั้งประเทศ ถ้าเราทำสำเร็จ ก็อยากให้คนเอาโมเดลไปใช้ เราทำทุกช่วงวัยของคน และในอนาคตอาจมีบริษัทอื่นๆ มาช่วยกัน อย่างเพลงเรา ก็พยายามทำเพลงเพื่อสังคม ให้ความหวัง ให้แง่คิด

สามปีแรก ผมคิดว่าจะมีรายได้จากสปอนเซอร์ คนเรียนไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างผมเดินสายไปตามโรงเรียน ผมก็ใช้เงินของผม ผมก็ต้องลงเงิน พิสูจน์ตัวเองก่อน ถ้าผมไม่เป็นสปอนเซอร์ในงานที่ผมทำ แล้วใครจะเป็นสปอนเซอร์ หลังจากนั้นแต่ละโครงการจะสร้างสรรค์ด้วยตัวของมันเอง

ย้อนมาถึงเรื่องชีวิต ช่วงไหนที่คุณเศร้ามากที่สุด

หนักสุดช่วงอายุ 30 กว่าๆ คนในครอบครัวเสียชีวิต ตั้งแต่พี่เขย คุณยาย พ่อแม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ผมซึมเศร้า พ่อแม่ผมจะห่วงผมมากเพราะพวกเขารู้ว่า ผมยึดติดพวกเขามาก จึงฝากให้พี่น้องคนอื่นช่วยดูแลบอยด้วย ตอนผมอายุ8 ขวบ ผมฝันว่าพ่อแม่ตาย ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาในทุกๆ วันผมกลัวว่าพ่อแม่จะตาย ตอนพ่อแม่ไม่สบายผมจะเดือดร้อนและเครียดมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ

ก็เลยตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ?

ใช่ ผมซึมเศร้า และเกิดได้กับทุกคน เพียงแต่จะพูดหรือไม่ คนเราเป็นซึมเศร้าก็เหมือนเป็นหวัด ผมก็พยายามทำให้เป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีใครมีความสุขตลอดกาล การที่เราเอามุมวิกฤติเรามาโชว์ เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า ไม่จำเป็นว่า ทุกคนต้องสวย ต้องหล่อเลิศมีซิกแพคตลอด เหมือนสังคมในโซเชียลมีเดียที่มีแต่ด้านดี ด้านอ่อนแอไม่ค่อยโชว์ ถ้าเราโชว์ให้เห็นเป็นเรื่องปกติ ประมาณว่า บอยก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ เป็นเรื่องธรรมดา

บางทีคนเราไม่ต้องเท่ตลอดหรอก พอผมเปิดเรื่องนี้ เพื่อนๆ ก็เปิดกันหมด คุยกันได้ เพราะปกติแล้วคนเรากลัวว่าจะดูไม่ดี ในไบเบิ้ลบอกว่า ถ้าเราจะอวดอะไรให้อวดความอ่อนแอความแย่ๆ ของเรา แล้วจะทำให้คนอื่นมาช่วยเหลือเราได้ ช่วยกันไปช่วยกันมา

แล้วภาวะยึดติดความสำเร็จของคุณล่ะ?

ช่วงที่ทำค่ายเพลงเบเกอรี่ ประสบความสำเร็จ ผมก็เคยยึดติดกับความสำเร็จ อยากจะสำเร็จไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่กล้าบอกใครว่า เราไม่เก่ง มีนักดนตรีที่เก่งกว่าผมเยอะแยะ ผมคิดว่ามันมาจากพระเจ้า ผมไม่รู้ว่า เพลงที่ผมแต่ง มันมาได้ยังไง เราคาดหวังอะไรกับตัวเองไม่ได้เลย เวลาที่ผมขึ้นไปบนเวที ผมจำเนื้อเพลงไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าเพลงนี้มาได้ยังไง มันไม่ได้มาจากผม แสดงว่าเบื้องบนให้มา

เพลงรักที่ผมแต่ง ผมรู้เลยว่า ถ้าผมใช้สมองแต่ง มันจะออกมาไม่เหมือนผมใช้หัวใจแต่ง ถ้าใช้สมองแต่งเรารู้ว่าคนชอบแบบไหนเขาฟังแล้วเขาก็ชื่นชมเรา เท่ากับเรากำลังหลอกเขา มันต้องมาจากความบริสุทธิ์ มาจากหัวใจ และมีช่วงหกปีที่ผมเว้นวรรค ผมก็แต่งเพลงโฆษณา เพลงเพื่อการค้า การที่คนมาชื่นชมเรา ผมก็ไม่โอเค

มาถึงจุดหนึ่ง คุณปลดล็อคความทุกข์ยังไง

เมื่อมารู้จักพระเจ้า และพระเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเราทีละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งเราทำได้ ผมใช้เวลากว่าปี ปลดล็อคเรื่องนี้ สำหรับผม พระเจ้าคือทางออก