MORNING CALL ACTION NOTES (27 ก.ย.60)

MORNING CALL ACTION NOTES (27 ก.ย.60)

Fund Flow ชะลอตัว

ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้สามารถปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยแม้จะมีความกังวลความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือกดดัน แต่แรงซื้อกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น รวมถึงแรงซื้อดัก Window Dressing ช่วยหนุนให้ SET ปิดที่ 1,669.75 จุด (+2.16 จุด) Vol. 6 หมื่นลบ. โดย Foreign Net +150 ลบ.  TFEX Net -1,743 สัญญา ตราสารหนี้ -426 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

+/- ปธน.ทรัมป์ ลั่นสหรัฐเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือหากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น

+/- ตลาดหุ้น DJ  อ่อนตัวลงเล็กน้อยหลัง FED ออกมายืนยันว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปแม้ทิศทางเงินเฟ้อยังคงไม่แน่นอน (ทั้งนี้คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 12 – 13 ธ.ค.)

+/- ตลาดหุ้นยุโรปทรงตัว  จากความกังวลสถานการณ์เกาหลีเหนือ รวมถึงการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรหลังพรรคพันธมิตรของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกฯเยอรมนีไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาด

+/- ราคาน้ำมันอ่อนตัวเล็กน้อยล่าสุด 52.1 US/Barrel จากความขัดแย้งในตะวันออกกลางหลังชาวเคิร์ดทำประชามติแยกตัวจากอิรัก รวมถึงคาดการณ์ว่า EIA จะรายงานสต็อน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล

+/- ตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.Foreign เป็น Net Buy ราว 1 หมื่นลบ. ส่วน TFEX เป็น Net Short ราว 6.4 หมื่นสัญญา และเงินบาทอ่อนค่าลงล่าสุด 33.2 Bath/USD.

** 27 ก.ย. การประชุมกนง. (คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5%)

** ติดตามแผนปฏิรูปมาตรการภาษีของสหรัฐ

**  การทำ Window Dressing ปิด NAV Q3/17 ในช่วงสัปดาห์นี้

ภาวะตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวระดับสูงและคาดว่างบ Q3/17 ของกลุ่มพลังงานจะเติบโต รวมถึงแรงซื้อการทำ Window dressing ปิด Q3/17 อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากความตึงเครียดสถานการณ์เกาหลีเหนือ รวมถึง Fund Flow ต่างชาติที่ชะลอตัวจะเป็นแรงกดดันดัชนี ดังนั้นประเมินว่า SET จะผันผวนในกรอบ 1,660 - 1,680 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน

- กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงและคาดการณ์ผลประกอบการ Q3/17 เติบโต

- กลุ่มอิเล็ก (KCE  HANA )  และแบงค์ (SCB TISCO) คาดเป็นเป้าหมายการทำ Window Dressing เนื่องจาก Underperform SET

- IVL EPG TU คาดสหรัฐฯเปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีในสัปดาห์นี้

หุ้นแนะนำพิเศษ

ASIMAR (ราคาปัจจุบัน 3.54 บาท)

  • ปัจจุบัน บริษัทเตรียมรับรู้รายได้ธุรกิจรับจ้างต่อเรือจาก Backlog สิ้นงวด 2Q60 ที่มีมูลค่ากว่า 137 ล้านบาท (จาก 2Q60 ที่รับรู้เพียง 95 ล้านบาท) ซึ่งประกอบด้วย งานเรือลากจูง งานเรือลำเลียงสินค้า และเรือกำจัดผักตบชวา ภายในงวด 3Q60 กอปรกับการฟื้นตัวของราคาน้ำมันที่ขึ้นเกินจุดคุ้มทุนของแท่นขุดเจาะกลางทะเล ทำให้มีความต้องการซ่อมเรือ Offshore ที่มีค่าจ้างซ่อมสูงกว่าปกติ เพิ่มมากขึ้น คาดหนุนผลกำไรของ ASIMAR ให้ทำจุดสูงใหม่ในงวด 3Q60
  • ปัจจุบัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการลุ้นงานประมูลต่อเรือหลายโครงการ ได้แก่ 1) งานเรือ Ferry มูลค่า 170 ล้านบาท 2) งานจากภาครัฐ มูลค่า 500 ล้านบาท และ 3) งานต่อเรือ Lighter Barge มูลค่า 300 - 400 ล้านบาท ซึ่งจะทราบผลช่วง 4Q60 - 1Q61 นอกจากนี้ ยังมีงานโครงเหล็กของรถไฟฟ้า เป็นโปรเจ็กต์ส่วนเพิ่มมาลดความผันผวนของผลกำไรในอนาคต ด้าน Valuation ยังมีความน่าสนใจ กล่าวคือ มี Current PER ที่ 11 เท่า และหากรวมผลประกอบการงวด 3Q60 คาดจะมี PER ลดลงมาอยู่ที่เพียง 9 - 10 เท่า เทียบกับในอดีตซื้อขายกันอยู่ระหว่าง 13 - 15 เท่า ในช่วงผลกำไรเติบโต แนะนำ “เก็งกำไร” งบ 3Q60 ในอีกกว่า 5 เดือนข้างหน้า

หุ้นเริ่มซื้อขายวันแรก : SSP (ราคา IPO 7.70 บาท)

  • บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น เป็น Holding Co. ในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ จำแนกเป็น 2 ธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 2.ธุรกิจโรงไฟฟ้ารูปแบบอื่น (ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพและพลังงานขยะ) ปัจจุบันมี 1 โครงการรับรู้รายได้ที่กำลังการผลิต 52 MW เสนอขายตามสัญญา (PPA) ทั้งสิ้น 40 MW โดยรายได้ปี 59 เท่ากับ 876 ลบ. โต 2.82% YoY ส่วน 1H60 มีรายได้ 449 ลบ. ลดลง 4.38% YoY% และกำไรหดตัว  8%YoY มาที่ 211.3 ล้านบาท
  • เงินทุนที่ได้จากการเสนอขาย IPO มูลค่า 1.73 พันลบ. หลักๆนำไปใช้ลงทุนในโครงการระหว่างการก่อสร้างและโครงการในอนาคตรวม 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 122.4 MW ในจำนวนเงินไม่เกิน 891.2 ลบ. ซึ่งมี PPA แล้วรวม 98 MW เงินอีกส่วนใช้ชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 715 ลบ. ส่วนที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ
  • ราคา IPO คิดเป็น Current PER ที่ 18.3 เท่า เทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน มี PER อยู่ที่ประมาณ 8.8 - 32.3 เท่า

หุ้นมีข่าว   

Ø  BBL KTB BAY KBANK SCB : ธปท.ออกประกาศเรื่อง "แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ" หรือ D-SIBs (ดี-ซิบ) ระบุรายชื่อธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งซึ่งมีผลต่อระบบเศรษฐกิจเนื่องจากมีปริมาณธุรกรรมที่สูงและเป็นผู้ให้บริการหลักในโครงสร้างพื้นฐานระบบการเงินของประเทศจึงต้องมีการเพิ่มหลักเกณฑ์เข้ามาดูแลในการเพิ่มขั้นต่ำอัตราการดำรงเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือ กันสำรองขั้นต้น จาก 6.5% เป็น 7.5% ซึ่งเป็นไปตามที่มาตรฐานสากล Basel III อย่างไรก็ดีธปท. ยืนยันว่ามาตรการนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารทั้ง 5 แห่งทั้งการทำธุรกิจ และการให้บริการ เพราะปัจจุบันสถานะเงินกองทุนสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว โดยเฉลี่ย 5 แห่งมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 14.25% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 16.93%

Ø  ความเห็น ปัจจุบันอัตราส่วนเงินกองทุนของทั้ง 5 แบงค์สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำและเชื่อว่ายังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในระยะนี้ ดังแสดงในตารางด้านล่าง โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นปลายปี แม้ภาพรวมจะถูกแรงกดดันจาก NPL แต่เชื่อว่าแต่ละธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ จากนโยบายรักษาระดับ Coverage Ratio เท่ากับค่าเฉลี่ยของ Peer ที่ 130-140% เราให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น "NEUTRAL"

Ø  IRPC (ราคาปิด 6.35  Bloomberg Consensus 6.39) เล็งสรุปโครงการ BEYOND EVEREST ในไตรมาส 1/61 เพื่อสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ 8-9 แสนตันต่อปี มูลค่าลงทุน 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมทุ่มงบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐลงทุนด้านดิจิทัลเริ่มต้นปี 61 เพื่อก้าวสู่ IRPC 4.0 (ที่มาข่าวหุ้น)  

Ø  ความเห็น เรามีมุมมองบวกต่อการลงทุนโครงการ BEYOND EVEREST เนื่องจากเป็นการขยายการลงทุนไปยังธุรกจปลายน้ำซึ่งสร้างกำไรได้ดีกว่าธุรกิจต้นน้ำ โดยเราคาดว่าผลประกอบการใน 3Q60 จะปรับตัวขึ้นตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้น 20% สู่ระดับ 9-11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นทำให้กำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบช่วยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม นอกจากนี้ใน 3Q60 คาดว่าโรงงานผลิต PP เฟส 2 จะแล้วเสร็จส่งผลให้สามารถผลิต Polypropylene (PP) ได้อีก 300 KTA (กำลังการผลิตรวม 700 KTA) ซึ่งในปัจจุบันเม็ดพลาสติก PP มีอัตรากำไรที่สูงเพราะราคา Propylene ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักราคาปรับตัวลงหลังสหรัฐผลิตได้เพิ่มขึ้น

Ø  ITEL เตรียมรับ 2 งาน มูลค่า 2,400 ล้านบาท จ่อเซ็นเน็ตชายขอบ 1,868 ล้านบาทวันที่ 28 ก.ย.นี้ หนุนแบ็กล็อกพุ่ง 3,117 ล้านบาท พร้อมทำแบ็กอัพโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯของคัมปานา 600 ล้านบาท พ.ย.นี้  (ที่มาข่าวหุ้น)   

Ø  ความเห็น การเข้าเซ็นสัญญางานอินเตอร์เน็ตหมู่บ้านชายขอบดังกล่าว แม้จะเป็นสิ่งยืนยันต่อ Backlog ของ ITEL ให้ทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ราคาหุ้นได้มีการสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค. 60 อย่างไรก็ตาม โครงการใหม่คือ การเข้าแบ็กอัพโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯของคัมปานา น่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้ ITEL มีความน่าสนใจในช่วงการเซ็นสัญญา คือช่วงเดือน พ.ย. 60 แต่ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายกันในระดับสูงถึง Current PER ที่ 73.7 เท่า ได้สะท้อนความคาดหวังต่อการเติบโตไปมากแล้ว หากจะเข้าเก็งกำไรในช่วงดังกล่าว แนะนำเข้าเก็งอย่างระมัดระวัง

Ø  TU (ราคาปิด 19.70 Bloomberg Consensus 22.05) เข้าซื้อหุ้น"แพ็คฟู้ด"อีก 22.30% มูลค่า 779.97 ลบ.เพื่อถือหุ้นเพิ่มเป็น 99.74%

Ø  MTLS (ราคาปิด 35 Bloomberg Consensus 40) ผลงานทำนิวไฮทุกไตรมาส เล็งปีนี้ปล่อยสินเชื่อตามเป้า 5 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท สิ้นปีนี้จะมีสาขา 2.3 พันแห่ง คุม NPL ไม่เกิน 1.5% เตรียมโรดโชว์สิงคโปร์ (ที่มา ทันหุ้น)

Ø  MCS แจ้งสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืนก่อนกำหนด หลังซื้อครบตามเป้า 4.6% ใช้เงิน 354.88  ลบ.

Ø   “ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้” (TITLE) คาดเสนอขายไอพีโอ 120 ล้านหุ้น และเข้าเทรดใน mai ในช่วงไตรมาส 4/60 หลัง ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว เพื่อระดมทุนพัฒนา The Title Residencies Naiyang Phuket และซื้อที่ดินรองรับพัฒนาโครงการใหม่