‘ยุทธชัย จรณะจิตต์’ดันออนิกซ์เสริมแกร่งอิตัลไทย

‘ยุทธชัย จรณะจิตต์’ดันออนิกซ์เสริมแกร่งอิตัลไทย

ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หนึ่งธุรกิจโรงแรมสัญชาติไทยที่ไปสร้างผลงานเติบโตโดดเด่นในต่างประเทศ หลังจากสั่งสมจากประสบการณ์จากในไทย

ด้วยเรือธงอย่าง “อมารี” ที่ยืนหยัดมากกว่า 52 ปี ในวันนี้กลัดเป้าหมายใหม่ด้วยการขยาย 99 โรงแรมภายในปี 2567 โดย “อิตัลไทย” คาดว่าภายใน 5 ปี สัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการจะขยับเพิ่มเป็น 60% จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 40%

ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ที่มี 6 หน่วยธุรกิจหลัก รวมถึงออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ ที่มีโรงแรมเป็นหัวใจหลัก เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในเชิงอุดมการณ์ ต้องการสร้างสัดส่วนรายได้ที่สมดุลกันระหว่าง “กลุ่มธุรกิจบริการ” และ "กลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลหนักและวิศวกรรม" ให้ได้ 50:50 เท่ากัน แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่จะมุ่งให้เกิดการแข่งขันระหว่างหน่วยธุรกิจกันเองว่าใครจะดีกว่า แต่ขึ้นอยู่กับพลวัตรการเติบโตของแต่ละกลุ่มธุรกิจเอง ว่าจะตอกย้ำความมั่นใจกับพันธมิตรคู่ค้า รักษาโมเมนตัมการเติบโตของตัวเองไว้ได้อย่างไร หรือคว้าโอกาสที่สำคัญในเวลาที่เอื้ออำนวยมาถึงตรงหน้าได้มากน้อยแค่ไหน โดยมีปัจจัยสำคัญคือ ทีมงานที่มีความกระตือรือร้นเสมอในการมุ่งไปสู้เป้าหมายที่วางไว้

โดยส่วนตัว หากเป็นไปได้ก็ย่อมต้องการมีโรงแรมมากกว่า 99 แห่ง ซึ่งในวันนี้ก็มีแนวโน้มที่ดีหากทีมงานสามารถสร้างโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องได้เช่นในทุกวันนี้  หากพิจารณาจากต้นทุนที่มีอยู่ก็มีโอกาส เนื่องจากมีโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 44 โรงแรมใน 8 ประเทศ รวม 6,546 ห้อง แต่หากรวมทั้งที่อยู่ระหว่างดำเนินการด้วยจะมีทั้งสิ้น 65 แห่ง

แม้ว่าจะเป็นแบรนด์โรงแรมสัญชาติไทย แต่มีการ “นำทีมงานบริหารที่มีประสบการณ์กับเชนระดับโลก”เข้ามาเสริมทัพต่อเนื่อง นับตั้งแต่การปรับโครงสร้างใหญ่ในปี 2553 ที่สร้างกลุ่มออนิกซ์ขึ้นมา เพื่อให้เป็นแกนหลักครอบคลุมกับพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์อมารีที่มีมาดั้งเดิม นำเสนอ 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ คือ ชามา และ โอโซ่ ที่เปิดให้บริการในปี 2553 และ 2556 ตามลำดับเข้ามาเติมเต็มความต้องการครอบคลุมเซกเมนต์หลัก พลิกบทบาทจากการเป็น “เจ้าของกิจการ” มาเติบโตรวดเร็วในเชิงการ “รับบริหาร” เต็มตัวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ ออนิกซ์ ให้สำคัญมากกว่าเชิงปริมาณ คือการมองว่าจะทำอย่างไรในการ “สร้างความน่าเชื่อถือ” ทั้งต่อพันธมิตรและลูกค้า โดยคำตอบคือ “การเลือกโฟกัส” เลือกทิศทางที่ชัดเจน ขยายธุรกิจโรงแรมด้วยคุณภาพผ่าน 3 แบรนด์หลักดังกล่าว ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เร่งรีบในการเข้าไปลงทุนในกระแสที่หวือหวา โดยการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวนั้น กลั่นกรองมาจากการเข้าไปศึกษาโอกาสแต่ละประเทศในเอเชียแปซิฟิก และถอดออกมาเป็นจำนวนที่เป็นไปได้จริง

ขณะเดียวกัน ให้ความสำคัญกับการ “คัดสรร” พันธมิตรที่พร้อมจับมือพัฒนาโรงแรมที่ดีและตรงกับความต้องการด้วยกันไปได้ ต่างๆ ซึ่งด้วยการมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งของตัวเองสนับสนุน มองว่าใน 5 ปีต่อไปนี้ อาจยังไม่จำเป็นต้องผลักดันธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือระดมทุนผ่านการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นโมเดลในการระดมทุนที่กำลังนิยม

“วางทิศทางให้ออนิกซ์เติบโตในเชิงคุณภาพ และหลังการปรับโครงสร้างเป็นต้นมา ภูมิใจมากกับผลสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากวางโฟกัสเด่นชัดว่าอยากเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เลือกเฟ้นสร้างชื่อในกลุ่มมิดสเกล (ระดับกลาง) และอัปเปอร์มิดสเกล (กลางกึ่งบน) ขึ้นไป ไม่โอนเอนไปสู่กลุ่มอีโคโนมีหรืออยู่ในกลุ่มลักชัวรีมากไป เน้นการให้คำมั่นกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาโรงแรมที่ดี ภายใต้แนวคิด Delivering Success มีความสมเหตุสมผลในด้านค่าบริหารจัดการ และด้วยพื้นฐานการเงินที่แข็งแกร่งของตัวเอง อย่างน้อยอีก 5 ปีจึงยังไม่จำเป็นต้องระดมทุน ทำให้พันธมิตรมั่นใจได้ในการรักษาคุณภาพในการให้บริการอย่างใกล้ชิดและเต็มที่ เพราะไม่มีความกดดันที่จะต้องเติบโตให้รวดเร็วเชิงจำนวนแบบไม่หยุดหย่อน”

ทั้งนี้ วางกลยุทธ์การขยายโรงแรม จะแสวงหาพันธมิตรรายใหญ่ ที่มีแผนพัฒนาโครงการหลายแห่งในครั้งเดียว ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จแล้วในฮ่องกง, ศรีลังกา และมาเลเซีย ในการลงนามรับบริหารโรงแรมกับนักลงทุนรายเดียวในการเปิดมากกว่า 1 โรงแรมขึ้นไป โดยการจะได้รับความไว้ใจในระดับนั้นได้ ก็ต้องสั่งสมผลงานการบริหารจัดการที่ดีและมีคุณภาพตามกลยุทธ์ที่วางไว้ก่อน

ยกตัวอย่างเช่นการเปิดตัวโรงแรมใหม่ล่าสุด “อมารี กอลล์ ศรีลังกา” ในเมืองกอลล์ ประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็น 1 ใน 3 โรงแรมที่ลงนามร่วมมือบริหารให้กับกลุ่มทุนรายเดียวคือ “ซิโน ลังกา โฮเต็ลส์ จำกัด” ภายใต้กลุ่มซิโน ลังกา เครือข่ายธุรกิจที่มีอิทธิพลอันดับต้นของประเทศ หลังจากที่พัฒนาโรงแรม โอโซ่ โคลอมโบ และ โอโซ่ แคนดี้ ที่เป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางได้ดี เข้ายึด 2 ทำเล 2 เมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว

“การจะมีโรงแรม 99 แห่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพัฒนาร่วมกับเจ้าของกิจการ 99 ราย แต่สามารถสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนรายเดียว เพื่อขยายโรงแรมหลายแห่งพร้อมกัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อให้คำมั่นสัญญาต่อเป้าหมายใดไว้แล้ว ก็ต้องส่งมอบให้ได้ตามนั้น จึงจะทำให้โมเดลสำเร็จ”

ยุทธชัย กล่าวว่า การปักธงในศรีลังกา ยังเป็นการตอกย้ำความสำคัญของการรุกเข้าไปในคลัสเตอร์ประเทศใน “มหาสมุทรอินเดีย” ที่จะเห็นมากขึ้นต่อไปนี้ด้วย เนื่องจากมีโรงแรมแล้วใน 4 ประเทศ ทั้งที่เปิดแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ มัลดีฟส์, บังคลาเทศ, อินเดีย และศรีลังกา แม้ว่าการบริหารโรงแรมในพื้นที่นี้ จะต้องเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง แต่เมื่อพบกับตลาดที่มีศักยภาพ ก็ต้องเข้าไปศึกษาและหาโอกาสเพิ่มเติม

อาทิ การเข้าไปปักธงทำเลท่องเที่ยวหลักอย่าง “มัลดีฟส์” ด้วยการเปิด อมารี ฮาวอดด้า ขนาด 120 ยูนิตไปแล้ว และยังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายโรงแรมแห่งที่ 2 เพิ่มอีก แม้ว่าตลาดท่องเที่ยวของมัลดีฟส์จะเข้าสู่ช่วงชะลอมาแล้ว 3 ปี ถือว่าผ่านจุดรุ่งเรืองในเชิงการตั้งราคาเฉลี่ยห้องพักสูงลิบไปเรียบร้อย แต่หากพิจารณาโอกาส ยังพบศักยภาพการรองรับตลาดระดับกลางจะเข้ามาแทนที่มากขึ้น

รวมถึงการขยายในเชิงรับบริหารเข้าไปใน “อินเดีย” เพิ่มเติมอีก แม้ว่าโดยพื้นฐานจะเป็นประเทศที่ใช้เวลาและความอดทนในการเข้าถึง ใช้เวลากว่า 4-5 ปี ยาวนานกว่าประเทศอื่นที่อาจใช้เวลาเพียง 2-3 ปีในการพัฒนาโรงแรมขึ้นมาได้ แต่โอกาสการเติบโตที่น่าจับตามองในอีก 5-10 ปีต่อไปนี้ ด้วยพื้นฐานการมีประชากรชนชั้นกลางที่แข็งแกร่ง ตรงกับการวางตำแหน่งแบรนด์หลักที่ออนิกซ์วางไว้ การมีตลาดท่องเที่ยวในประเทศขนาดใหญ่ และประชากรยังอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสัดส่วนสูง ทำให้ไม่สามารถละเลยตลาดนี้ได้แน่นอน

ความคืบหน้าขณะนี้ อยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรรายใหญ่ 1-2 รายในการเข้าไปบุกตลาดในเชิงรับบริหาร และมองว่าออนิกซ์มีศักยภาพในการมีโรงแรมในอินเดียได้ถึง 12-15 โรงแรมภายในปี 2567 ด้วย หลังจากที่ประกาศการพัฒนาโครงการแห่งแรกไปแล้ว 1 แห่ง

นอกจากนั้น ยังพิจารณา “การลงทุนใหม่” ในโรงแรมอีกแห่งในเอเชียใต้เพิ่มเติมด้วย และคาดว่าจะมีข้อสรุปและประกาศในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นการลงทุนในต่างประเทศ ที่วางกลยุทธ์ควบคู่ไว้กับการ “การลงทุนซ้ำ” หรือ Reinvest กับโครงการเดิมที่เป็นเจ้าของกิจการในไทย เช่น โรงแรมอมารี ที่กรุงเทพฯ (วอเตอร์เกท), ภูเก็ต, เกาะสมุย และโครงการปรับโฉมใหญ่ที่พัทยา ในเร็วๆ นี้ เพื่อยกระดับการเป็นโชว์เคสให้พันธมิตรเห็นการพัฒนาและประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับภายใต้แบรนด์ในเครือออนิกซ์

สำหรับ 3 แบรนด์หลักของออนิกซ์ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว แบ่งเป็น อมารี มีทั้งสิ้น 18 แห่ง ในไทย, กาตาร์, บังคลาเทศ, มัลดีฟส์, มาเลเซีย, จีน และศรีลังกา ตามด้วยแบรนด์ชามา 9 แห่ง ในฮ่องกง, จีน และไทย ขณะเดียวกันยังมีแบรนด์โอเรียนเต็ล เรสซิเดนส์, การรับบริหารแบรนด์โรงแรมอิสระภายใต้กลุ่มโมเสค คอลเลคชั่น และธุรกิจสปาภายใต้แบรนด์ “บรีซสปา” ด้วย

ยุทธชัย กล่าวด้วยว่า ยังเฝ้าติดตามทิศทางการลงทุนที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย แต่ทั้งนี้ยังไม่มีโครงการเป็นรูปเป็นร่าง เนื่องจากยังประเมินความเป็นจริงของตลาดในเอเชียอยู่ว่าจะเติบโตได้มากน้อยขนาดไหน ในเมื่อค่านิยมของครอบครัวไทยยังไม่นิยมส่งพ่อแม่แยกห่างจากครอบครัว แต่หากจะพัฒนาจริงก็จะใช้แบรนด์ที่มีอยู่ คือ ชามา ที่ตอบสนองตลาดระยะยาว หรือ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนส์ ที่มีความพร้อมอยู่แล้ว มาต่อยอดรับตลาดได้เช่นกัน