คลังยันธนาคารพาณิชย์5แห่งไม่มีปัญหาสถานะการเงิน

คลังยันธนาคารพาณิชย์5แห่งไม่มีปัญหาสถานะการเงิน

"ปลัดคลัง" ยัน ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งไม่มีปัญหาสถานะการเงิน ไร้นัยยะสำคัญที่ต้องดูแลเป็นการเฉพาะ ชี้ "ธปท." เพิ่มกันสำรองเพื่อมาตรฐานสากลเท่านั้น

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ดำเนินการด้วยความรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ หรือ D-SIBs ที่กำหนดให้ในปี 2563 ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนชั้นที่ 1 เพิ่มจากอัตราส่วนเงินกองทุกขั้นต่ำอีกร้อยละ 1 ว่า การออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่ ธปท. ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีมาตรฐานการดำเนินงานเช่นเดียวกับนานาชาติ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะมีผลประกอบการสูงมาก โดยที่ผ่านมามีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือ BIS retro มากกว่าที่กำหนดอยู่แล้ว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทย จึงยืนยันว่าธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งไม่ได้มีปัญหาด้านสถานะทางการเงิน และไม่มีนัยยะสำคัญที่ต้องดูแลเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการประกาศตามมาตรฐานเท่านั้น

ส่วนกรณีมีข้อมูลว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก แนะนำให้ลูกค้าปรับสัดส่วนเงินฝากเพื่อเลี่ยงการเสียภาษีนั้น ขณะนี้กรมสรรพากร อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนเข้าไปดำเนินการอบรมให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับธนาคารพาณิชย์ โดยยืนยันว่าผู้ฝากเงินทุกรายจะต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นธนาคารพาณิชย์ไม่ควรแนะนำให้ลูกค้าดำเนินการปรับสัดส่วนบัญชีเงินฝาก

ขณะที่ ปัจจุบันมีร้านค้าติดตั้งเครื่องรับชำระเงินอิเลกทรอนิกส์ หรือ อีดีซี ไปแล้วกว่า 180,000 เครื่อง จึงมั่นใจว่าภายในเดือนมีนาคม ปีหน้า จะติดตั้ง ครบ 560,000 เครื่องตามกำหนดแน่นอน เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บัตรเดบิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้เงินสดลดลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีผลกระทบกับระบบการชำระด้วยคิวอาร์โค้ด เพราะเครื่องอีดีซีจะไว้รองรับการชำระผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิตรวมทั้งบัตรประจำตัวผู้มีรายได้น้อย ที่จะสามารถเชื่อมระบบได้ในอนาคต

ส่วนแนวทางเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะจ่ายเพิ่มเบี้ยยังชีพรายเดือนให้กับผู้สูงอายุ โดยยังต้องรอข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุที่สละสิทธิ์ จึงจะรู้วงเงินที่จะเพิ่มได้