ลุ้นคำพิพากษา แพะ? ชิงเพชร 15 ล้าน!!

ลุ้นคำพิพากษา แพะ? ชิงเพชร 15 ล้าน!!

ลุ้นฟังคำพิพากษาคดีวิ่งราวเพชร 15 ล้าน พ่อค้าข้าวเหนียวไก่เป็นแพะหรือไม่ รองปลัดยธ.มั่นใจในพยานหลักฐาน ขณะเกิดเหตุจำเลยป่วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 25 ก.ย.60 ศาลอาญาธนบุรีนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พ่อค้าขายข้าวเหนียวไก่ทอด ในจังหวัดนครพนม ตกเป็นจำเลยในคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังและร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นเพชรมูลค่า 15.8 ล้านบาท เหตุเกิดในท้องที่สน.บางเสาธง โดยระหว่างการพิจารณาคดีนายพิสิษฐ์ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษธนบุรี

พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า สำหรับคดีที่ร้องขอความเป็นธรรมว่าตำรวจอาจจับผู้ต้องหาผิดตัวในคดีวิ่งราวเพชร 15.8 ล้านบาทนั้น มีประเด็นที่เป็นข้อสงสัยว่า ผู้ต้องหาอาจมีชื่อสกุลซ้ำกันในทางทะเบียน นอกจากนี้จำเลยในคดียังมีหลักฐานยืนยันว่าในวันเกิดเหตุ ก่อนที่จะมีการวิ่งราวเพชร 1 ช.ม. จำเลยได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในคลินิกแห่งหนึ่งใน จ.นครพนม จึงเป็นข้อพิรุธว่าไม่สามารถเข้ามาก่อเหตุวิ่งราวเพชรในกรุงเทพฯได้หรือไม่ นอกจากนี้ภรรยาของจำเลยยังได้นำภาพถ่ายยืนยันว่าสามีถูกทำร้ายร่างกายขณะถูกนำตัวไปสอบสวนในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ตนจึงมอบให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจสอบประวัติการตรวจร่างกายขณะรับตัวจำเลยไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี พร้อมลงพื้นที่รวบรวมหลักฐานทั้งหมด

รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า ชุดสืบสวนดีเอสไอ ได้ลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เป็นข้อต่อสู้ให้กับนายพิสิษฐ์ โดยคดีนี้ตำรวจใช้หลักฐานเลขที่บัตรประชาชนในการยื่นขอจดทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตรวจสอบพบว่าจดทะเบียนในชื่อของนายพิสิษฐ์เป็นหลักฐานสำคัญในการขออนุมัติหมายจับ ต่อมาดีเอสไอพบหลักฐานน่าเชื่อว่าสำเนาบัตรประชาชนของนายพิสิษฐ์ ถูกนำไปใช้ในการยื่นจดทะเบียนขอหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นหมายเลขที่คนร้ายนำไปใช้ติดต่อกับผู้เสียหายแล้วก่อเหตุวิ่งราวเพชร ส่วนโทรศัพท์ที่นายพิสิษฐ์ใช้งานจริงเป็นอีกหมายเลขหนึ่ง

"นอกจากนี้ยังปรากฎหลักฐานสำคัญว่าขณะที่นายพิสิษฐ์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ สำเนาบัตรประชาชนของนายพิสิษฐ์ก็ถูกนำไปใช้จดทะเบียนเปิดใช้งานซิมการ์ดอีกหมายเลขหนึ่ง ซึ่งสอดรับกับการจับกุมแก๊งชาวจีนที่รับจ้างกดไลค์ กดแชร์ พร้อมของกลางซิมการ์ดจำนวนมาก จึงน่าเชื่อว่าสำเนาบัตรของนายพิสิษฐ์ถูกคนร้ายนำไปใช้จดทะเบียนซิมการ์ด" รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าว

พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า ระหว่างเกิดเหตุวิ่งราวทรัพย์มีหลักฐานเป็นพยานบุคคลและใบรับรองแพทย์ของหมอ ที่ยืนยันว่าก่อนเกิดเหตุนายพิศิษฐ์ป่วย จึงเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องใน จ.นครพนม ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาก่อเหตุวิ่งราวเพชรที่กรุงเทพฯ ขณะที่พยานบุคคลซึ่งชี้ตัวนายพิสิษฐ์ก็ระบุว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ จึงไม่ยืนยันว่านายพิสิษฐ์ใช่คนร้ายที่ก่อเหตุหรือไม่ ทั้งนี้จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ตรวจสอบพบและนำขึ้นเบิกความต่อศาล โดยในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ย.) ตนจะเดินทางไปร่วมรับฟังคำพิพากษาที่ศาล หากนายพิสิษฐ์ถูกปล่อยตัวก็จะไปรับตัวออกจากเรือนจำ

สำหรับคดีนี้น.ส.ดารีวรรณ พ่อวงค์ ช่างเสริมสวย ชาวนครพนม นำหลักฐานมายื่นขอให้พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ช่วยเหลือด้านคดีแก่นายพิสิษฐ์ โดยนายพิสิษฐ์ถูกตำรวจเชิญตัวไปที่สน.และแจ้งข้อหาร่วมกับพวกวิ่งราวทรัพย์เป็นเพชรหลายชิ้น มูลค่ารวม 15.8 ล้านบาท โดยผู้เสียหายซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของร้านเพชรที่กรุงเทพฯ ได้ชี้ตัวยืนยัน ขณะที่นายพิสิษฐ์ได้แก้ข้อกล่าวหาโดยนำแพทย์และใบรับรองแพทย์ไปยื่นเป็นหลักฐานว่า ในช่วงวันเกิดเหตุวิ่งราวเพชรนายพิสิษฐ์อยู่ที่ จ.นครพนม อีกทั้งไม่เคยเดินทางมากรุงเทพฯ และไม่รู้จักผู้เสียหายมาก่อน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ต้องหาและส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาล เบื้องต้นเชื่อว่าสาเหตุที่นายพิสิษฐ์ถูกจับกุมเป็นเพราะมีชื่อสกุลซ้ำกับคนร้ายตัวจริง