ท่องเที่ยวไตรมาส 4 คึก หุ้น“กลุ่มโรงแรม”เด่น

ท่องเที่ยวไตรมาส 4 คึก หุ้น“กลุ่มโรงแรม”เด่น

“หุ้นกลุ่มโรงแรม” เด้งรับสัญญาณ ฟื้นตัวอุตฯท่องเที่ยว หลังคลายกังวล "ปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ" ขานรับปัจจัยบวกไฮซีซั่น “3 ธุรกิจโรงแรมใหญ่"  ยกมือรับรอง !!

6 เดือนแรกของปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย เติบโต “4.41%” คิดเป็นจำนาน 17.32 ล้านคน เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเติบโตหลักจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน (นักท่องเที่ยวอันดับ1ของไทย ) รัสเซีย ประเทศกลุ่มเอเชียใต้ เกาหลีใต้ และประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม)

แม้ว่าอัตราการเติบโตที่ว่านี้ จะอยู่ใน ระดับต่ำกว่าปกติ ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่บางปีเติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก ทว่าเริ่มมองเห็นทิศทางการฟื้นตัวเป็นลำดับ เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแม้จะเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ แต่ก็เป็นภาคที่“ฟื้นตัว” กลับมาเร็ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน

โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนัก จากการผนึกกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ปราบปราม ทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือการหลอกลวงนักท่องเที่ยวของบริษัททัวร์ ให้ซื้อทัวร์ราคาถูกหรือต่ำกว่าต้นทุน ก่อนจะมาเสริมออฟชั่นนำลูกทัวร์ไปซื้อสินค้าและบริการในราคาแพง เพื่อหันกำไรภายหลัง ไปจนถึงขั้นลอยแพลูกทัวร์ จากการปราบปรามดังกล่าวทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก ก่อนที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมา หลังตลาดเริ่มปรับฐาน สู่ทัวร์คุณภาพ 

สอดคล้องกับรายงานสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.)ของปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยมีจำนวน 3.19 ล้านคน ลดลง 7.4%” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย ลดลงถึง 20.7%” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว จากการสำรวจพบว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (มาร์เก็ตแคป) ปี 2558-2559 ของเหล่าผู้ประกอบการ กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ บางรายปรับตัว ลดลง  

อาทิ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL ,บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT 3 บิ๊กธุรกิจโรงแรม  มีมาร์เก็ตแคป จาก 59,400 ล้านบาท ,10,678.02 ล้านบาท และ 159,583.80 ล้านบาท ในปี 2558 ลดลงมาอยู่ที่ 57,375 ล้านบาท ,14,502.43 ล้านบาท และ 173,3447.15 ล้านบาท ในปี 2559 ตามลำดับ 

ขณะที่ กำไรสุทธิ บริษัทจดทะเบียนไทยลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 พบว่า CENTEL,ERW และ MINT โดยไตรมาส 1 กำไรสุทธิอยู่ที่ 783.01 ,207.65 และ1,924.46 ล้านบาท ไตรมาส 2 ลดลงมาอยู่ที่ 398 ,57.44 และ 736.79 ล้านบาท ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจท่องเที่ยว ผู้บริหารธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่างประเมินว่า จะเริ่มทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป และ โดดเด่นในไตรมาส 4 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (High Season) และต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกปี 2561 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT    ประเมินว่าในงวดปี 2561 (ต.ค.60-ก.ย.61) จะมีจำนวนผู้โดยสารเติบโตอย่างน้อย 5% โดยคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 135 ล้านคน และรายได้จะเติบโตมากกว่า 10% จากงวดปี 2560 (ต.ค.59-ก.ย.60) ที่คาดรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 10% และจำนวนผู้โดยสารเติบโต 7% มาที่ 129 ล้านคน

แบ่งสัดส่วนเป็น ผู้โดยสารต่างประเทศ 56% และผู้โดยสารในประเทศ 44% ซึ่งแนวโน้มผู้โดยสารต่างประเทศจะมีสัดส่วนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง

กันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW บอกว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้อยู่ที่ 34.4 ล้านคน หรือเติบโต 6% จากปีก่อนอยู่ที่ 32.6 ล้านคน ทำให้คาดว่าอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 80-81% จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 79%

จากการประเมินดังกล่าว ทำให้บริษัทเตรียมเปิดโรงแรมฮ็อปอินน์ (HOP INN ) ช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 6 แห่ง จากปีครึ่งปีแรกเปิดไปแล้วจำนวน 5 แห่ง ทำให้ปลายปีนี้จะมีโรงแรมรวมทั้งหมด 52 แห่ง จำนวนห้องพัก 7,310 ห้อง โดยตั้งงบลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโรงแรมที่จะเปิดในปี 2560-2561 รวมทั้งปรับปรุงโรงแรมเดิม ขณะที่โรงแรมที่จังหวัดสกลนครที่ถูกน้ำท่วมเริ่มเปิดดำเนินการแล้ว

ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.66 พันล้านบาท หลังคาดว่ารายได้ห้องพักเพิ่มขึ้นราว 10% และรายไดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 8%” 

กันยะรันต์ ยังวางแผนลงทุน ระยะยาว 5 ปี (2559-2563) โดยตั้งงบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ใช้ในการลงทุนเปิดโรงแรมใหม่ ซึ่งจะทำให้ในปี 2563 บริษัทจะมีโรงแรมเพิ่มเป็นกว่า 85 แห่ง จำนวนห้องพัก 1 หมื่นห้อง แบ่งเป็น HOP INN ในประเทศไทย 50 แห่ง ในฟิลิปปินส์ 12 แห่ง และจำนวน 25 โรงแรม เป็นกลุ่มโรงแรม 5 ดาว โรงแรมกลุ่มระดับกลาง และ กลุ่มโรงแรมชั้นประหยัด โดยแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสด และ เงินกู้สถาบันการเงิน ซึ่งเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว 

ภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังดี ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง คนจีนก็เริ่มกลับมาแล้ว จากปีก่อนมีมาตรการทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเราก็ยังเชื่อมั่นว่าปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10%” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ดิ เอราวัณ กรุ๊ป กล่าว

ขณะที่ “รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์” รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL คาดว่าครึ่งปีหลังจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยปีนี้จะมี “ไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน” หลังจากครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยว “17.3 ล้านคน” เติบโต 4.4% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งในไตรมาสแรกปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รายได้ครึ่งแรกมีฐานที่ต่ำกว่าครึ่งปีหลัง 

ส่วนปี 2561 ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยเติบโตราว 7-8% เทียบกับปี 2560

ครึ่งปีหลังจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตกว่าครึ่งแรก หลังกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน รัสเซีย หันกลับมาเที่ยวในประเทศไทยเหมือนเดิม เห็นสัญญาณจากไตรมาส 1 ปี 2560 การเติบโตของอัตราการเข้าพักจากโรงแรมในประเทศ โดยเฉพาะในพัทยาและภูเก็ต จากจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่กลับมาท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 34%”

รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL ยังคาดว่า รายได้ของ CENTEL ครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 2560 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.99 หมื่นล้านบาท โดยมาจากธุรกิจอาหารราว 1.1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจโรงแรม 9,000ล้านบาท ประเมินอัตราการเข้าพักของโรงแรมในปีนี้จะอยู่ที่ 81-82% ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 81.9% ขณะที่ยอดขายต่อสาขาเดิมในธุรกิจอาหารคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ ติดลบ0.1%” แต่จะเติบโตจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีสาขาร้านอาหารอยู่ทั้งหมด 824 สาขา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 801 สาขา

เขา บอกต่อว่า วางงบลงทุนปีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยใช้ในธุรกิจอาหาร 1,115 ล้านบาท แบ่งเป็นปรับปรุงร้านค้า 320 ล้านบาท ขยายสาขา 635 ล้านบาท และใช้ในการลงทุนด้านอื่นๆ 160 ล้านบาท และในธุรกิจโรงแรม 750-850 ล้านบาท ใช้ปรับปรุง 500-600 ล้านบาท ใช้ขยายโรงแรม Cosi สมุย จำนวน 220 ล้านบาท และขยาย Cosi Pattaya 30 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนก่อสร้างโรงแรมเพิ่มเป็น 54 แห่ง ในปี 2562 แบ่งเป็นโรงแรมที่เป็นของบริษัทในประเทศไทยทั้งหมด 15 แห่ง โรงแรมที่เป็นของตนเองในต่างประเทศ 3 แห่ง และโรงแรมที่รับจ้างบริหารจัดการทั้งหมด 23 แห่ง รับบริหารจัดการในต่างประเทศทั้งหด 13 แห่ง จากปัจจุบันที่มีโรงแรมภายใต้การบริหารและเป็นเจ้าของทั้งหมด 37 แห่ง

ด้าน ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานกรรมการฝ่ายกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เปิดเผยว่า คาดว่าครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งแรก เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัว และธุรกิจเข้าสู่ฤดูกาล (ไฮซีซั่น) โดยเฉพาะธุรกิจอาหารที่จะดีขึ้น และบริษัทจะมีการทำโปรโมชั่นในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่าในครึ่งปีแรกจะธุรกิจ ซบเซา ไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง

ตั้งเป้ารักษาการเติบโตของกำไรไว้ราว 15-20% ต่อปี

สำหรับ แผนธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2559-2563) โดยมีธุรกิจโรงแรม ,ธุรกิจอาหาร และ ธุรกิจจัดจำหน่าย ซึ่งสัดส่วนรายได้ในประเทศอยู่ที่ 53% ต่างประเทศ 47% แต่ในปี 2563 สัดส่วนรายได้ในประเทศลดลงเหลือ 48% และในต่างประเทศเพิ่มเป็น 52% หลังจากบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศจำนวนมากขึ้น โดยขณะนี้มีการลงทุนใน 32 ประเทศ

เขา บอกว่า ตามแผน 5 ปี (59-63) บริษัทตั้งเป้าขยายโรงแรมมากกว่า 250 แห่ง จากไตรมาส 2 ปี 2560 ที่มี 155 แห่ง และ ธุรกิจร้านอาหารจะขยายให้มากกว่า 3,400 สาขา จากไตรมาส 2 ปี 2560 ที่มี 2,037 สาขา คิดเป็นการเติบโตที่ 8-10% ต่อปี และ ธุรกิจจัดจำหน่ายจะเพิ่มร้านค้าใหม่มากกว่า 500 แห่ง จากไตรมาส 2/60 ที่มี 339 แห่ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะทบทวนแผนธุรกิจ 5 ปี (2560-2564) ในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นการทบทวนแผนตามปกติ

สำหรับงบลงทุนใน 5 ปี (2559-2563) กำหนดไว้ที่ 40,000 ล้านบาท โดยจัดสรรจำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอีก 10,000 ล้านบาท สำหรับในการเข้าซื้อกิจการ (M&A)

อย่างไรก็ตาม หากบริษัทต้องการลงทุนเพิ่มขึ้น บริษัทยังมีกระแสเงินสดรองรับเพียงพอ ทั้งการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากในปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ใน ระดับต่ำ

นอกจากนี้ หากพิจารณา“ปัจจัยบวก”ตลอดช่วงที่เหลือของปี 2560 เหล่านักวิเคราะห์หลากหลายสำนักยังแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มมีความ“น่าสนใจ”มากขึ้น หลังจากทิศทางจำนวนนักท่องเที่ยวกำลังกลับมา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และรัสเซีย

-------------------

เพิ่มน้ำหนัก “กลุ่มท่องเที่ยว

บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ “กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการป็น” มาเป็น มากกว่าตลาด จากเดิม เท่ากับตลาด เพื่อรอรับอุปสงค์ธุรกิจท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและ “กำไร-รายได้” ไตรมาส 2 ปี 2560 ออกมาน่าดึงดูดใจ ประกอบกับไตรมาส 4 ปี 2560 ต่อเนื่องไปถึงไตมาส 1 ปี 2561 เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) รวมทั้งผู้ประกอบการมีผลการดำเนินงาน โดดเด่น กว่ากำไรของ SET Index โดยรวม ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวได้รับการปรับระดับการซื้อขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยแนะนำให้นักลงทุนสะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวสองบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มนี้ คือ MINT และ CENTEL โดยราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.2560 

โดย หุ้น MINT ลดลง 8.8% และ CENTEL ลดลง 8.2% เป็นโอกาสดีในการเข้าซื้ออย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ERW เนื่องจากมูลค่าหุ้นแพง และมีอัพไซด์ค่อนข้างจำกัดต่อราคาเป้าหมายของเรา

ทว่า ช่วงไตรมาส 2 โดยปกติจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทยต่ำสุดของปี (โลว์ซีซั่น) ประกอบกับปีที่แล้วฐานนักท่องเที่ยวสูง แต่ไตรมาส 2 ปี 2560 พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนประเทศไทยทำ สถิติสูงสุด จากอดีตที่ผ่านมาที่ 8.1 ล้านคน ในไตรมาส 2/60 สูงขึ้น 8% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 6%

โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 3/60 อยู่ที่ 8.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% เทียบกับปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ไตรมาส 4/60 คาดจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 9 ล้านคน สูงขึ้น 15% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และ 3% จากไตรมาสก่อน รวมทั้งคาดอุปสงค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมากต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 1 ปี 2561 โดยจะสามารถเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนได้ต่อเนื่องจะหนุนโดยฐานต่ำในไตรมาส 4/2559 และไตรมาส 1/2560 เนื่องจากได้รับผลกระทบด้านลบจากมีการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของนักท่องเที่ยวจีน และเป็นช่วงไว้อาลัย

นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวจีนและรัสเซียฟื้นตัว คิดเป็น 28% และ 4% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทั้งหมดตามลำดับ ได้กลับมาฟื้นตัวแรงอีกครั้ง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนประเทศไทยนับว่าฟื้นตัวเกือบจะทั้งหมดหลังจากที่ชะลอตัวไปในช่วงเดือนต.ค.2559 –เม.ย.2560 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยรายเดือนที่เข้ามาสูงขึ้นต่อเนื่อง 3% ในเดือนพ.ค. เป็น 7% ในเดือนมิ.ย. และ 8% ในเดือนก.ค. อีกทั้งการจับจ่ายต่อหัวเติบโตเร่งขึ้นจาก 1.5% เดือนพ.ค.เป็น 4.3% เดือนมิ.ย. และ 4.7% เดือนก.ค. (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียฟื้นตัวแกร่งถึง 29% ใน 7 เดือนแรกของปี 2560 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียน่าจะยังสามารถเติบโตไปได้อีกต่อเนื่อง

อีกทั้งรัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยมุ่งเน้นส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวในต่างจังหวัดในประเทศไทยเป็นหลัก โดยมองว่า CENTEL จะได้รับผลประโยชน์ด้านบวกมากที่สุดจากโอกาสที่จะเกิดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศสำหรับชาวไทยจากรัฐบาล เนื่องจาก 50% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทมาจากโรงแรมในต่างจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดใน 3 บริษัทที่ให้คำแนะนำ และคาดแนวโน้มกำไรเป็นขาขึ้นต่อเนื่องสามไตรมาส