ฟันแน่! 'เจ้าคณะ' พร้อมพระ3รูป เอี่ยวโกงเงินทอนวัดงบ140ล้าน

ฟันแน่! 'เจ้าคณะ' พร้อมพระ3รูป เอี่ยวโกงเงินทอนวัดงบ140ล้าน

ผู้การปปป.ไม่หวั่น! ลั่นลุย "เจ้าคณะ" พร้อมพระ3รูป เอี่ยวโกงเงินทอนวัด หลังผอ.พศ.-นายช่าง เข้ารับทราบข้อกล่าวหา-ให้การปฎิเสธ เผยพบตร.แค่5จาก19ราย ชี้ทุจริต5ปีงบกว่า140ล้าน

จากกรณีเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ลุยตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด หรือโอนเงินให้วัดแล้วเรียกรับเงินทอนคืน โดยล็อตแรก เป็นการทุจริตงบอุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 12 วัด ตั้งแต่ปี 2555-59 ความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมส่งสำนวนให้ ปปช. ชี้มูลความผิด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ตำรวจปปป. นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่2 รวม 14 จุด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ขอนแก่น ระนอง สิงห์บุรี นครปฐม และสมุทรสาคร เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงกระบวนการทุจริตเงินทอนวัด

พบว่าเป็นการทุจริตงบประมาสอุดหนุน 3 ประเภท คือ 1.อุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2.อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 55-60 ความเสียหายประมาณ 141 ล้านบาท จนมีหลักฐานความผิดถึงตัวผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย และกำลังออกหมายเรียกและหมายจับต่อไป

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 กันยายน ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน พศ. และนายพยงค์ สีเหลือง นายช่างโยธา ชำนาญงาน พศ. เดินทางมารับทราบข้อกล่าว โดย พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รอง ผบก.ปปป. ดำเนินการให้พนักงานสอบสอบสวนแยกตัวกันสอบปากคำ ซึ่งสื่อมวลชนไม่สามารถเข้าไปถ่ายภาพได้ ทั้งนี้นายฉัตรชัย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยมีฉากกั้นปิดหน้า โดยได้เปิดเผยว่า ตนขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าราชการ พระชั้นผู้ใหญ่ ในการทุจริต และที่ผ่านมา ตั้งแต่รับตำแหน่ง ตนพยายามที่จะปรับเปลี่ยนระบบขององค์กรให้โปร่งใสที่สุด

ด้าน พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยภายหลังเข้าไปสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ว่า เบื้องต้น ทั้งนายฉัตรชัย และนายพยงค์ ต่างปฏิเสธว่ามีส่วนรู้เห็นในกระบวนการให้เงินงบประมาณวัด และเรียกรับเงินกลับคืน แต่เจ้าหน้าที่มั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมมา โดยพนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งคู่ คือมาตรา 147 มาตรา 157 อย่างไรก็ตามจากผู้ต้องหาทั้งหมด 19 คน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว 5 คน ส่วนที่เหลืออีก 14 คน ซึ่งเป็นพระ 4 รูป อย่างไรก็ตามจะพยายามให้เจ้าหน้าที่ทำสำนวนส่งทาง ปปช.ภายในวันอังคารที่ 26 ก.ย.นี้ เพื่อให้ปปช.ชี้มูลความผิด และส่งฟ้องศาล เพื่อออกหมายเรียกและหมายจับตามขั้นตอนได้

พล.ต.ต.กมล กล่าวต่อว่า ด้านพระ 4 รูปนั้น เท่าที่ทราบยังอยู่ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงพระดังกล่าว ทาง บก.ปปป. ก็ต้องดำเนินการตามหลักฐาน ซึ่งไม่รู้สึกลำบากใจ หากทางพระมีลูกศิษย์จำนวนมาก เพราะเป็นไปตามพยานหลักฐาน ส่วนการดำเนินการในคดีเงินทอนวัดครั้งนี้จบ ไม่ได้หมายความว่าจะมีผู้ต้องหาแค่นี้ หลังจากนี้จะมีการสอบสวน และขยายผลเพิ่มตามพยานหลักฐาน ส่วนทรัพย์สินที่อายัดไว้เมื่อวันที่ 22 กันยายน ได้ส่งให้สำนักงาน ปปง.ดำเนินการตรวจสอบ หากเกี่ยวข้องกับคดีก็ให้ดำเนินข้อหาตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินตามขั้นตอนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบว่าพระสงฆ์ระดับพระครู และเป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็น 1 ในพระ 4 รูปที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่พบพยานหลักฐานและพฤติกรรม ว่า มีการร่วมมือกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนะ อดีต ผอ.พศ. (ปัจจุบันหนีไปต่างประเทศ) และนายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน พศ. โดยมีการให้งบบูรณะวัด 12 วัด ในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นเงิน 19 ล้านบาท ก่อนนายนพรัตน์จะขอเงินกลับไปประมาณ 5 ล้านบาท หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับพระครูรายดังกล่าวหากไม่สามารถแจ้งได้ ก็ส่งหลักฐานให้ ปปช. ชี้มูลต่อไป

สำหรับรายชื่อผู้ต้องหา 5 คนจาก 19 คนได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว คือ 1.นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ., 2.นายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) สิงห์บุรี 3.นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการ พศ. 4.นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน พศ. และ5.นายพยงค์ สีเหลือง นายช่างโยธา ชำนาญงาน พศ.