สัมผัสแนวคิด"ดิจิไทล์วัตถุโบราณ"

สัมผัสแนวคิด"ดิจิไทล์วัตถุโบราณ"

สพร.ร่วมกับออโต้เดสก์ทำการดิจิไทซ์โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ 1,500 แห่ง ให้ไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัลผ่านโซลูชั่นชื่อรีเมค-เรียลลิตี้แคปเจอร์สแกนภาพ 2 มิติสู่โมเดลเหมือนจริง

นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) กล่าวว่า สพร.ได้ร่วมกับออโต้เดสก์ในโครงการเพื่ออนุรักษ์โบราณวัตถุ หลังจากที่ผ่านมา เกิดปัญหาไม่สามารถจัดแสดงโบราณวัตถุจำนวนมากที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทยให้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชน ดังนั้น ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ดิจิทัล สพร. จึงนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้มาใช้ในการอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ที่ฉลาดรู้และเข้าใจเรื่องดิจิทัลได้เข้าถึงและซึมซับประวัติศาสตร์ชาติในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ

โดยในโครงการดังกล่าว สพร.ได้ริเริ่มดำเนินโครงการในปี 2559 เพื่อแปลงโบราณวัตถุบางส่วนให้ไปเป็นดิจิทัลโดยใช้เครื่องสแกนเลเซอร์ และพบว่ากระบวนการดังกล่าวมีราคาสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค จึงทำให้การขยายโครงการยังไม่ครอบคลุมพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ

ในปี 2559 ที่ผ่านมา สพร. จึงได้เลือกออโต้เดสก์รีเมค (ReMake) มาใช้งาน เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายและแบบครบวงจร สามารถเปลี่ยนวัตถุจัดแสดงหรือภาพสแกน 2 มิติ ของวัตถุจริงให้เป็นโมเดล 3 มิติ ที่มีความคมชัดสูง โดยกระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่าเรียลลิตี้ แคปเจอร์ (Reality Capture) ทั้งนี้ รีเมค (ReMake) เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจัดการกระบวนการดังกล่าวได้ แม้ว่าจะขาดความรู้และความเชี่ยวชาญด้านโมเดลลิ่งแบบ 3 มิติ (3D modeling)

ขณะนี้ สพร. และออโต้เดสก์ ได้เริ่มดำเนินการจัดโครงการอบรมให้แก่พิพิธภัณฑ์ จำนวน 5 ภูมิภาคต่างๆ ดังต่อไปนี้ ภาคกลาง:มิวเซียมสยาม ,ภาคเหนือ: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: พิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร ,ภาคใต้: สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา,ภาคตะวันออก : พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด

ขณะที่นางธัตจานา จามบาโซวา ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ออโต้เดสก์ เสริมว่า ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานจะทำการแปลงรูปภาพและภาพสแกนโบราณให้เป็นโมเดลดิจิทัล 3 มิติ โดยวัตถุจัดแสดงในรูปแบบดิจิทัล จะนำไปเผยแพร่องค์ความรู้บนเว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์ เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริง และจุดเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทยแก่คนทั่วโลก

"เรารู้สึกเป็นเกียรติที่มีบทบาทในการอนุรักษ์โบราณวัตถุอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย โดยเมื่อวัตถุเหล่านี้ได้รับการดิจิไทซ์หรือทำให้อยู่ในรูปดิจิทัลแล้วก็จะส่งผลกระทบในวงกว้าง"

 
ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว สามารถนำเทคโนโลยีการสร้างโลกเสมือนจริงมาใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้และรับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ยังสามารถนำเสนอโบราณวัตถุ พร้อมเรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัตถุแต่ละชิ้นแก่สาธารณชนจำนวนมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติ อย่างไรก็ดี โครงการที่เรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงเฟสแรกเท่านั้น และในอนาคตมีแผนเพิ่มจำนวนโบราณวัตถุดิจิทัลให้มากขึ้นในทุกปี