คนจนร้องทหารถูกยึดที่ดิน จาก2ผัวเมียที่เป็นขรก.-นักการเมือง

คนจนร้องทหารถูกยึดที่ดิน จาก2ผัวเมียที่เป็นขรก.-นักการเมือง

ชีวิตรันทด! สาวลูกสามพร้อมแม่ตาบอด ร้องทหารช่วยถูกยึดที่ดิน เหตุถูกสองผัว-เมียที่เป็นขรก.-นักการเมืองใช้อิทธิพลข่มขู่ ยึดที่สาธารณะไล่พระและชาวบ้าน

ชาวบ้านห้อม หมู่ที่ 11 ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม ร้องเรียนว่า มีสองผัวเมียคู่หนึ่ง ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์ เมื่อมีคนคัดค้านก็ใช้วิธีข่มขู่ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ คนเฒ่าคนแก่ โดยผู้เป็นผัวรับราชการหน่วยงานแห่งหนึ่ง ส่วนเมียเป็นนักการเมืองท้องถิ่น มีสาวใหญ่ลูก 3 คน ฐานะยากจนอยู่กับแม่ที่ชราภาพและพิการตาบอดเป็นผู้สียหาย จึงเดินทางไปยังพื้นที่ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดป่าสามัคคีอุปถัมภ์ ในบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตามมาตรา 44 คำสั่ง คสช.

พบนางนา เคนคม อายุ 48 ปี 102 หมู่11 บ้านห้อม ต.อาสารถมารถ นั่งอยู่ในวัดป่าดังกล่าว โดยมีพระสงฆ์และชาวบ้านรอให้รายละเอียด ซึ่งนางนาเปิดเผยว่าที่ดินที่มีข้อพิพาทกับสองผัว-เมียคู่นี้ แต่เดิมเป็นของนายจันโท หอมหลาย อายุ 90 ปี ปัจจุบันเสียชีวิตไปกว่า 30 ปี เป็นปู่ของตนเอง ขณะนั้นตนเพิ่งอายุได้ 11-12 ปี เรียนอยู่ชั้นป. 1 หลังปู่ตายก็มีป้าเป็นผู้จัดการมรดก แต่ป้าแอบนำที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งขณะนั้นเป็นใบ นส.3 ก. เนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวา ไปจำนองกับนายทุนในตัวเมืองนครพนม โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นมาก่อน

ต่อมา ระหว่างที่ตนและมารดาคือ นางแพง หอมหลาย ปัจจุบันอายุ 79 ปี พิการทางสายตา เนื่องจากถูกงูเห่าพ่นพิษใส่จนตาบอด กำลังทำนาอยู่ ก็มีนายทุนอ้างว่าได้ซื้อที่ดินแปลงนี้แล้ว ห้ามเข้ามาทำกินในพื้นที่นี้อีก ตนกับแม่จึงไปบุกเบิกที่ดิน ซึ่งเป็นหัวไร่ปลายนา อยู่ติดที่ดินแปลงดังกล่าว ระบุว่าเป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ (ภูกระแต) สองแม่ลูกอาศัยทำนาปลูกข้าวเก็บไว้กิน ตั้งแต่เล็กจนมีครอบครัว มีลูกทั้งสิ้น 3 คน คนหนึ่งสติไม่สมประกอบ มีเจ้าหน้าที่ที่ดินแนะนำว่า ที่ดินแปลงที่ถูกยึดไปนั้น ถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นกี่ครั้งก็ตาม ให้ตนไปยื่นเรื่องคัดค้านการควบรวมที่ดิน ซึ่งเป็นหัวไร่ปลายนาตรงที่ตนใช้ประโยชน์ทำกิน ให้ซื้อขายกันตามเอกสารที่ระบุในใบที่เท่านั้น

ไม่นานนายทุนได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับเศรษฐีนีร้านทองหน้าตลาดสด เทศบาลเมืองนครพนม ตนขึ้นไปคัดค้านให้เจ้าหน้าที่โอนตามจำนวนในเอกสาร ก็ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับเจ้าของที่ดินคนใหม่แต่อย่างใด กระทั่งปี 2553-2554 มีการขายที่ดินต่อให้กับสองผัวเมียคู่นี้ โดยที่ตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน ปรากฏว่าวันหนึ่งสองผัวเมียนำโฉนดที่เปลี่ยนจากใบ นส.3 ก. แสดงความเป็นเจ้าของว่า ห้ามผู้ใดเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นก็นำเสาปูนมาตั้งล้อมรั้วลวดหนาม ขณะนั้นพระในวัดป่าสามัคคีฯ ได้คัดค้านว่าบริเวณหัวไร่ปลายนานี้ เป็นของสาธารณะใช้ประโยชน์ร่วมกัน วัดก็เคยใช้บริเวณดังกล่าวตั้งองค์กฐินสามัคคีถึง 3 ปีติดกัน แต่สองผัวเมียกลับชี้หน้าด่าพระ หากยังเถียงจะจับสึกไปใส่กางเกงยีนส์ให้หมด แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ที่รู้เรื่องราวความเป็นมาก็ใช้อิทธิพลข่มขู่ต่างๆนาๆ

ส่วนตนซึ่งเป็นผู้บุกเบิกกับมารดามาตั้งแต่ต้น คราวแรกไม่โวยวายอะไร เนื่องจากตนได้ย้ายจากตรงนั้นออกไปแล้ว กล่าวคือประมาณปี 2550 มีการก่อตั้งวัดป่าฯอยู่ตรงข้ามกับบ้านของตนพอดี เจ้าของร้านทองหน้าตลาดเทศบาลเมืองนครพนม เห็นว่าไม่เหมาะที่บ้านเรือนจะตั้งตรงกับทางเข้าออกวัด จึงขอแลกเปลี่ยนที่ดิน ให้ตนขยับไปปลูกบ้านใหม่ที่อยู่ติดกัน

หลังจากที่ดินเปลี่ยนมาอยู่ในมือของสองผัวเมียนี้ เมียผู้เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ที่ชอบดูถูกดูแคลนผู้มีฐานะด้อยกว่า นำเจ้าหน้าที่ที่ดินมาทำการรังวัด โดยไม่มีเจ้าของที่ข้างเคียงร่วมชี้แนวเขต และยังผนวกที่ดินของตนเข้าไปด้วย จากนั้นก็ขับไล่ให้ตนย้ายออกไป ไม่เช่นนั้นจะเอารถแบ็คโฮมาดัน แถมยังดูพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามว่าบ้านหลังแค่นี้สร้างไม่ถึง 30,000 บาท แต่ตนไม่ยอมย้ายเพราะเป็นที่ดินได้มาโดยชอบธรรม โดยมีนางเฟื่องฟ้าเจ้าของที่เดิมเป็นพยานยืนยัน ปัญหายิ่งบานปลายเรื่อยๆ ทั้งสองยังคงสร้างความเดือดร้อนแก่คนในชุมชนเพิ่มขึ้น ช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นักการเมืองท้องถิ่นเหิมเกริม นำรถไถมาดันเสาครัวหลังบ้านตนพังเสียหาย จึงไปแจ้งความดำเนินที่ สภ.เมืองนครพนม พนักงานสอบสวนเห็นว่าน่าจะไกล่เกลี่ยตกลงกันได้ จึงแนะนำให้ไปคุยกัน ขณะเดียวกันตนก็เขียนหนังสือร้องเรียนยื่นหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง

หลายเดือนผ่านไปก็ไม่มีอะไรคืบหน้า มีคนแนะนำว่าควรยื่นเรื่องร้องทุกข์ต่อ กอ.รมน.จว.นครพนม ซึ่งเป็นหน่วยงานทหารที่ทำงานรวดเร็ว ได้ผลเกินคาดทาง กอ.รมน.ฯ เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง จนเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่ดินลงพื้นที่ตรวจสอบเขต ด้วยการเชิญสองผัวเมียที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเข้าร่วมชี้แนวเขต ปรากฏว่าทั้งสองไม่ยอมให้ความร่วมมือ กลับแอบซุ่มดูการทำงานอยู่ในป่าไผ่ใกล้ๆ ผลการตรวจสอบเขตแนวที่ดินแล้ว เบื้องต้นเป็นการรุกล้ำที่สาธารณะจริง และเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งและจะเสนอเรื่องถึงผู้บังคับบัญชา แจ้งความดำเนินคดีสองผัวเมียบุกรุกที่สาธารณะ

ทางด้าน นายปริตถกร สุวรรณวงค์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 เปิดเผยว่าบริเวณพิพาทนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโฉนด ชาวบ้านทุกคนทราบดีว่าเป็นหัวไร่ปลายนา ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ ตนเคยไปบอกสองผัวเมียคู่นี้ว่า หากนางนาบุกรุกที่ดินจริงก็สามารถขับไล่ให้ออกได้ทันที แต่เขาไม่ได้บุกรุกจึงอย่าใช้อิทธิพลอื่นมาข่มขู่ และการรังวัดนั้นไม่มีเจ้าของที่ข้างเคียงเซ็นชื่อรับรองสักคน ตนหรือนายก อบต.อาจสามารถ ก็ไม่กล้าเซ็น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าบุกรุกที่สาธาณะ ยังสงสัยว่าโฉนดแปลงนี้ออกมาได้อย่างไร มีผู้รู้กล่าวว่าใบโฉนดแปลงนี้ ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่ดินบางคนสมรู้ร่วมคิด เพราะหลังฮุบที่หลวงไปรวมกับเนื้อที่เก่าแล้ว น่าจะมากกว่าเดิมหลายไร่ แต่สับขาหลอกด้วยการเขียนตัวเลขเท่าเดิม เพื่อตบตาคนที่จะขอดูเอกสาร ปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่งก็จะยื่นขอรังวัดตรวจสอบหลักเขตใหม่ จากนั้นก็จะได้ที่ดินเพิ่มขึ้นโดยปริยาย