นายกฯ พอใจแผนยุทธศาสตร์ชาติ 

นายกฯ พอใจแผนยุทธศาสตร์ชาติ 

"พล.อ.ประยุทธ์" พอใจแผนยุทธศาสตร์ชาติ ของนักศึกษาวปอ.- วปรอ. ตรงยุทธศาสตร์รัฐบาล ยอมรับแก้ปัญหายาก เพราะติดอยู่ที่นิสัยคน 

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติ - ยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2561-2580 ของคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร นักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหาร และนักศึกษาวิทยาลัยการทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ ประจำปีการศึกษา 2560 โดยมีพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้แทนจากองค์กรต่าง ๆ เข้าร่วมรับฟังด้วย ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ทหาร คณะนักศึกษาฯ ร่วมกันจัดทำโดยอาศัยกรอบยุทศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลเป็นแนวทาง โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเสนอแนะทางวิชาการแนวคิด เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงได้พิจารณานำไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้มีความชัดเจนมากขึ้น

โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนในฐานะศิษย์เก่ารุ่นที่ 50 ซึ่งทุกคนคาดหวังว่าทำอย่างไรจะให้ประเทศมียุทธศาสตร์ชาติ ถ้าตนไม่มายืนตรงนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีการคิดวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ ปัญหาที่จะตามมาต่อไปคือ ทำอย่างไรที่จะให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าปัญหาคืออะไร รู้ถึงวิธีการแก้ปัญหาทั้งเชิงวิชาการ การบริหารจัดการ แต่ในช่วงที่ผ่านมามันเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งจะโทษใครไม่ได้ ตนจึงจะต้องทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นให้ได้ ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน วันนี้ตนรับหน้าที่เป็นประธานเกือบทุกกลุ่มจนหัวสมองเกือบแยกไม่ออก นั่งฟังไปก็คิดตามจนไฟช็อตในหัวไปหมด ยอมรับว่ายุทธศาสตร์ชาติของรุ่นนี้เป็นที่น่าพอใจ เพราะตรงกับยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้วางไว้ ซึ่งทั้งหมดก็ได้รับความร่วมมือจากอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารมาช่วยกันทำ พร้อมกับคณะสนช. และสปท.

"วันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปเร็วจนคนตามไม่ทัน ทำให้เกิดความแตกต่างในขั้นพื้นฐาน ซึ่งเราก็ต้องพัฒนาให้ได้ เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้ได้เร็วทุกเรื่อง แต่ปัญหาคือไม่รู้จะทำงานอย่างไร ติทุกอย่างแต่ทำงานไม่ได้ พวกคนแก่ เก่าๆ อย่างตนกลับทำงานได้ แต่อาจจะมีความทันสมัยน้อยหน่อย" นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงมีรับสั่ง 2 คำด้วยกันคือ ความเท่าเทียม และความเป็นธรรม หมายความว่าจะต้องทำให้คนทุกคน เข้าถึงโอกาสทางเลือก รายได้ อาชีพอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนจน หรือผู้มีรายได้ปานกลาง เราต้องคำนึงถึงสิทธิของทุกคนในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย ซึ่งยอมรับว่ายาก แต่ถ้าคนไม่เข้าใจก็จะกลายเป็นว่าไม่เกิดความเท่าเทียม เราจึงต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น สิ่งที่เราต้องเร่งทำวันนี้คือ ลดปัญหาของทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ แต่ต้องยอมรับว่าแต่ละพื้นที่ย่อมมีความไม่เท่าเทียม ทุกอย่างคือความเหลื่อมล้ำของแต่ละจังหวัด ซึ่งรัฐบาลได้หยิบขึ้นมาพิจารณา เพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบเดิมปัญหาก็จะเป็นแบบเดิมตามกลไกประชาธิปไตยเหมือนที่ผ่านมา เราจึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติ เพื่อลดปัญหา และเพิ่มการพัฒนา

"ประเทศไทยมีคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย มีความแตกต่าง ปัญหาปัจจุบันที่ยังแก้ไม่ได้ คือคนไทยยังติดกับปัญหาเดิม ๆ ทั้งความไม่พร้อมของประชาชน การศึกษา หลักคิดต่าง ๆ เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ฝ่ายบริหารวางแผนและเขียนออกมาได้ แต่เวลาทำไม่ง่าย เพราะพื้นที่ทุกตารางนิ้วของประเทศมีเจ้าของ ไม่ว่าจะแก้หรือปรับอะไรก็ติดปัญหาที่คนทั้งหมด แต่ก็ต้องทำและแก้ แม้จะยากเพราะทุกอย่างมันกลายเป็นนิสัยของคนไปแล้ว ผมไม่ได้โทษใครทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดปัญหา เพราะมีประชาธิปไตยมาโดยตลอด และเราจะต้องมีต่อไป เพียงแต่จะทำอย่างไรไม่ให้ประชาธิปไตยเป็นเหมือนเดิมอีก ต้องทำให้ทุกอย่างเดินหน้าตามกรอบความจำเป็น ถือเป็นความเป็นความตายของประเทศ ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ทั้ง 6 ภาคของประเทศมีศักยภาพ และเจริญเติบโตด้วยตัวเอง โดยไม่เกิดการทับซ้อน แย้งการตลาด หรือการผลิต วันนี้ถ้าเราไม่สร้างจิตสำนึกให้กับทุกคนให้รู้ว่าปัญหาของประเทศอยู่ตรงไหน ไม่มีทางสำเร็จ ไม่ต้องไปรอศตวรรษที่ 21 เพราะถ้ามัวรออยู่ก็แก้ไม่ทัน ตั้งแต่ผมเข้ามาก็ทำตามโรดแมปที่วางไว้ มีการขับเคลื่อนเป็นระยะ จนกระทั่งมีรัฐธรรมนูญ ตลอด 3 ปี ทั้งรัฐบาล คสช. ทำงานมาโดยตลอด ทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ การสร้างความปรองดอง และการปฏิรูป จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการปยป. ขึ้นมา แต่การทำงานเมื่อยังช้าอยู่ก็จึงต้องมีสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) เพื่อขับเคลื่อนให้กิจกรรมเร่งด่วนสำคัญ และอาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตรา 44 ซึ่งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ตอนนี้เราทุกคนกำลังนั่งเรือลำใหญ่ไปด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่เรือแป๊ะ"นายกฯ กล่าว