เร่งสอบเพิกถอนที่ดินน.ส.3ก. ปมรุกป่ากว่า600ไร่ที่กันตัง

เร่งสอบเพิกถอนที่ดินน.ส.3ก. ปมรุกป่ากว่า600ไร่ที่กันตัง

จนท.เร่งสอบสวนผู้เกี่ยวข้องเสนอกรมที่ดินเพิกถอนนส.3 ก.ของนายทุน เนื้อที่กว่า 600 ไร่ ที่ออกบินและบวมทับที่ทำกินชาวบ้าน และรุกพื้นที่ป่า อ.กันตัง ตามมติคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ จังหวัดตรัง

ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง - นายจักรี สุขุม เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในที่ดิน น.ส.3 ก. ของนางกัลยา วศินวงศ์ เนื้อที่รวมกว่า 600 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 5 ต.วังวน อ.กันตัง จ.ตรัง ที่คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัดตรัง (กบร.) มีมติให้เพิกถอน น.ส.3 ก.ทั้ง 11 แปลง เนื้อที่รวม608 -2 – 04 ไร่ออกจากสารบบ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

หลังเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนและตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีการออก น.ส.3 ก. มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการนำ ส.ค.1 ของชาวบ้านจากหมู่บ้านหนึ่งบินไปออกเป็น น.ส.3 ก. อีกหมู่บ้านหนึ่ง อีกทั้งทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน, รุกเขตป่าไม้ถาวร , รุกป่าชายเลน และเนื้อที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมเป็น 10 เท่า จาก 100 ไร่เศษ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 600 ไร่ ( บิน – บวม) ทั้งนี้ มีการเรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวน และสอบปากคำผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวทั้ง 3 ผ่ายคือ 1. ฝ่ายชาวบ้านที่ สค.1 บิน และถูกทับที่ดินทำกิน 2.ฝ่ายนางกัลยา ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง น.ส.3 ก.และ 3. ตัวแทนธนาคารกรุงเทพ.ที่รับจำนองที่ดิน

นายจักรี สุขุม เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง กล่าวว่า การทำงานของคณะกรรมสอบสวน ที่อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้งขึ้นมา ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อสอบสวนซ้ำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออก น.ส.3 ก.มิชอบ ตามมติ กบร. เบื้องต้นจำนวน 8 แปลง ส่วนอีก 3 แปลง จะรายงานไปยังกรมที่ดินให้แต่งตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายชาวบ้านที่ร้องเรียน 2.ฝ่ายผู้ครอบครองที่ดิน และ 3. ฝ่ายธนาคารกรุงเทพ โดยจะใช้เวลา 2 วันในการสอบปากคำทั้งหมด และจะร่วมลงมติในวันพรุ่งนี้ (14 กย.) เพื่อเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของผลการสอบสวนขั้นตอนของการออกเอกสารสิทธิ์ทั้ง 8 แปลง พบว่า ถูกต้อง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ข้อที่ 10 (พ.ศ.2532) ทั้ง 8 แปลง คือ ออกผิดตำแหน่งเดิม และเนื้อที่บวมเพิ่มขึ้น โดยทางคณะกรรมการจะเร่งสอบสวนและสรุปผลมติเสนอให้กรมทิ่ภายในวันที่ 16 กันยายน เพราะครบ 120 วัน โดยกรมที่ดินจะพิจารณาเห็นควรอย่างไรก็จะสั่งการมายัง สำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง ดำเนินการต่อไป

ด้านนายสุรศักดิ์ อนุสรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 4 (ภาคใต้) ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับกำลังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง มาตั้งแต่ประมาณเดือนมิถุนายน 2559 เป็นต้นมา กล่าวว่า ก็ถือว่าทุกขั้นตอนดำเนินการได้อย่างรวดเร็วผลเป็นที่พอใจ ทั้ง กบร. มีมติเพิกถอน น.ส.3 ก.ทั้ง 11 แปลง แต่กรมที่ดินแต่งตั้งกรรมการสอบสวนเบื้องต้นจำนวน 8 แปลง ส่วน 3 แปลงที่เหลือ ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง จะเสนอเพิ่มเติมไปยังกรมที่ดินให้แต่งตั้งกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป

ซึ่งเชื่อว่าระยะเวลานับจากนี้คงใช้เวลาไม่นานแล้ว เพราะว่ากระทบกับชาวบ้านที่มีการออกเอกสารไปทับที่ดินทำกินของเขา ซึ่งหลังจากกรมที่ดินได้เพิกถอนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินก็จะต้องทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของให้คัดค้านผลการเพิกถอนภายใน 30 วัน หากสิ้นสุดขั้นตอนดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ก็จะเข้าไปทำการตรวจยึด จากนั้นก็จะต้องแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิ์มิชอบต่อไป ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินที่ออกกเอกสารสิทธิ์ขณะนั้น ตามความผิดในมาตรา 157 ,นายการุณย์ ผลศิริ ผู้ขอออก น.ส. 3 ก.และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งนี้ จะมีจำนวนกี่คนขึ้นอยู่กับพนักงานสอบจะเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป

ด้านนายเสกสิทธิ์ ทวีชลพิสิฐ อายุ 68 ปี ผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก ทั้ง 11 แปลง กล่าวขณะเดินทางมาให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนว่า ทราบผลมติ กบร.ที่จะให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ออกแล้ว ซึ่งหากถึงวันที่ต้องถูกเพิกถอนจริงๆ ก็จะต้องจ้างทนายความดำเนินการฟ้องร้องต่อไป โดยที่ดินดังกล่าวตนเองและครอบครัวซื้อต่อมาจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดตรัง ทั้งนี้ จะฟ้องร้องใครบ้างส่วนตัวก็ยังไม่รู้ให้ผลออกมาแน่นอนก่อนว่าถูกเพิกถอนแน่ ก็จะให้ทนายความเร่งดำเนินการทันที ส่วนตัวก็มองว่าดีแล้วที่จะได้พิสูจน์สิทธิ์กันให้ชัดเจน เพราะหากไม่รู้เรื่องก็จะมีปัญหาคาราคาซังทำอย่างไรก็ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ดินทั้ง 11 แปลงดังกล่าว ผู้ครอบครองคนปัจจุบัน เคยกล่าวว่าที่ดินทั้ง 11 แปลงดังกล่าวนี้ ตนเองได้มาอย่างถูกต้องในปี 2547 โดยการประมูลจากสำนักงานบังคับคดี โดยตนเป็นคนที่ 2 ที่ครอบครองที่ดินแปลงนี้ เพราะครั้งแรกที่สำนักงานบังคับคดีประกาศให้มีการประมูล ตนเองไม่ได้ร่วมประมูลด้วย โดยคนแรกประมูลได้ไปด้วยเงิน 3.5 ล้านบาท แต่พอรายแรกทำไม่ได้ ก็มีการประมูลใหม่ตนเองเข้าไปประมูลแข่งกับรายเดิม จนชนะมาได้ในราคา 4.8 ล้านบาท จากนั้นก็เข้ามาปรับพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด