Daily Market Outlook (13 ก.ย.60)

Daily Market Outlook (13 ก.ย.60)

บรรยากาศดีขึ้น

คาดหุ้นไทยขึ้นต่อวันนี้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก บรรยากาศการลงทุนของโลกยังคงผ่อนคลายต่อเนื่อง หุ้นสหรัฐทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งเมื่อคืนหลังจากความตึงเครียดกรณีเกาหลีเหนือ และความกังวลผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเออร์มาลดลง อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นของหุ้นจากนี้น่าจะจำกัด เนื่องจากคำถามที่ว่าตลาดจะเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ยังคงไม่มีใครตอบได้ในสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ ไม่น่ามีอิทธิพลต่ออารมณ์ตลาดมากนัก

 

หุ้นเด่นวันนี้: TTA (Bt9.80; BUY; AWS 17TP Bt13.00)

TTA ได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของค่าระวางเรือ เมื่อดัชนีค่าระวางเรืออยู่ระดับเกิน 1,000 จุด กิจการเดินเรือของ TTA จะพ้นจุดคุ้มทุนและมีกำไร ปัจจุบันค่าระวางเรือยืนที่ 1,300 จุดแล้ว ดัชนีค่าระวางเรือฟื้นตัวต่อเนื่อง จาก (1) ความต้องการนำเข้าถ่านหินและแร่เหล็กคุณภาพสูงของจีนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายควบคุมมลภาวะและเน้นการผลิตเหล็กคุณภาพสูง และ (2) จีนเร่งนำเข้าถ่านหินก่อนเข้าฤดูหนาว ภาพรวมอุตสาหกรรมเรือเทกองในช่วงที่เหลือของปีดูสดใสต่อเนื่องถึงปีหน้าจากการค้าที่ฟื้นตัว โดยองค์กรการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าทั่วโลกในปี 2560 จะเร่งตัวขึ้น 2.4% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 1.8% สำหรับธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทมีแนวโน้มเติบได้ดีเช่นกัน ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของ MML จะเข้า High Season ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 และเมื่อ 6 ก.ย.60 MML เพิ่งได้งานเพิ่มเป็นงานซ่อมบำรุงใต้น้ำรวม 3 สัญญามูลค่างาน 12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 400 ล้านบาท ในมาเลเซีย 1 สัญญา และในตะวันออกกลางอีก 2 สัญญา สำหรับธุรกิจถ่านหินของ UMS จะปรับตัวดีขึ้นตามราคาถ่านหินที่ฟื้นตัว คาดว่าปีนี้อาจจะไม่มีผลขาดทุนจากธุรกิจถ่านหิน UMS เข้ามาแล้ว (ปกติขาดทุนปีละ 50 ล้านบาท) AWS คาดว่า TTA จะฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิในปี 2559 ที่ 418 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิในปี 2560 ที่ 1,543 ล้านบาทและคาดกำไรสุทธิปี 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% เป็น 1,761 ล้านบาท ราคาปัจจุบัน TTA ยังเทรดที่ PBV เพียง 0.9 เท่า เราให้ราคาเหมาะสม TTA ที่ 13 บาท อิงค่า forward PBV ปี 2560 ที่ 1.1 เท่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท Price Pattern ของ TTA ยังมีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยหาก Price Pattern ของ TTA สามารถปิดตลาดรายเดือนได้เหนือ 9.95 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่าแนวโน้มหลักที่เคยอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) เปลี่ยนไปสู่แนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ทันที โดยมีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 11 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 13.40 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TTA มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 9.15 บาท (Resistance: 9.90, 10.00, 10.30; Support: 9.70, 9.55, 9.30)       

 

ปัจจัยสำคัญ                                                                                                       

ประเด็นในประเทศ:

  • ใช้มาตรา 44 ห้า 12 สายการบินบริการระหว่างประเทศเพื่อรอขอใบรับรองใหม่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศโดยสายการบินขนาดเล็ก 12 สายการบินซึ่งยังไม่ได้รับใบรับรองจากการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) อย่างไรก็ตามสายการบินเหล่านี้มีสัดส่วนเพียง 2% ของตลาดเท่านั้น (บางกอกโพสต์)
  • คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บุหรี่และไพ่ โดยโครงสร้างอัตราภาษีใหม่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันศุกร์และจะมีผลในวันเสาร์นี้(บางกอกโพสต์)
  • ไทยเสนอให้ญี่ปุ่นลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงภาคตะวันออก-ตะวันตก ในการสัมมนาเรื่อง " Thailand 4.0 Towards Connected Industries" รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ขอให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมในการพัฒนาเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงในภาคตะวันออก - ตะวันตก (EWEC) หลังจากที่จีนได้เริ่มลงทุนโครงการรถไฟเชื่อมโยงจีนตอนใต้กับอาเซียน (บางกอกโพสต์)

ต่างประเทศ:

  • ทรัมป์ขอให้จีนปฏิบัติตามมติยูเอ็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐ กล่าวเมื่อวันอังคารเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นต่อเกาหลีเหนือครั้งล่าสุดว่า “ไม่มีอะไรเทียบกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น” เขาได้เตือนจีนซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของเกาหลีเหนือว่าหากจีนไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว สหรัฐจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อจีนและเกาหลีเหนือและจะขัดขวางไม่ให้เข้าสหรัฐและระบบค่าเงินดอลลาร์ (รอยเตอร์)
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันเมื่อวันอังคารเนื่องจากความต้องการพันธบัตรอายุ 10 ปีที่ซบเซาส่งผลกระทบต่อราคาพันธบัตรโดยรวม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 17% จากที่ระดับ 2.125% เมื่อวันจันทร์ โดยที่ก่อนหน้านี้ได้แตะระดับ 2.18% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์หลังจากการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี (รอยเตอร์)
  • ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อวันอังคารต่อจากที่แข็งค่าเมื่อวันก่อน โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 05% สู่ระดับ 91.92 หลังจากที่ปรับตัวขึ้นถึงระดับ 92.08 (รอยเตอร์)

สหรัฐ:

  • ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันอังคาร โดยหุ้นกลุ่มการเงินเป็นตัวนำตลาดเนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือและผลกระทบทางการเงินจากพายุเฮอริเคนเออร์มาดูจะสร้างความเสียหายน้อยกว่าที่เป็นกังวลกันเมื่อสัปดาห์ก่อน (รอยเตอร์)

ยุโรป:

  • ตลาดหุ้นยุโรปแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ เนื่องจากความกังวลในสถานการณ์เฮอริเคนเออร์มาและเกาหลีเหนือลดลง แม้นักลงทุนบางกลุ่มยังคงตั้งคำถามว่าตลาดจะสามารถยืนอยู่ในระดับนี้ไปได้นานแค่ไหน (รอยเตอร์)

เอเชีย:

  • นายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ต้องการให้ธนาคารกลางของญี่ปุ่น (BOJ) ให้ความสำคัญกับนโยบายการเงินเพื่อที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าที่ 2% โดยที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลชุดต่อไปที่จะมาบริหารประเทศ ทั้งนี้ ตำแหน่งของ นาย คุโรดะ ซึ่งเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง จะหมดวาระเดือนเมษายนปีหน้า โดยมีวาระระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี (รอยเตอร์)
  • ผลสำรวจคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม เป็นระดับ 50% เพิ่มขึ้น 8% จากผลสำรวจครั้งก่อนหน้า โดยคาดว่าเป็นผลจากความกังวลของประชาชนเรื่องการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงความไม่แน่นอนในพรรคฝ่ายค้านหลักของญี่ปุ่น (รอยเตอร์)
  • ตลาดหุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้นในวันอังคารที่ผ่านมา จากการที่นักลงทุนและโบรกเกอร์คาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดในส่วนของอุตสาหกรรมโภคภัณฑ์ต้นน้ำ (Upstream Commodity) ในส่วนของ เหล็ก ถ่านหิน โลหะที่ไม่มีแร่เหล็กเป็นส่วนประกอบ (Non-ferrous metal) และน้ำมัน จะมีผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 3 ปี 2560 จากการปฏิรูปการผลิต และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภาคการผลิตที่เป็นวัฏจักรนี้จึงถูกคาดการณ์ว่าน่าจะมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ดีขึ้นใน ไตรมาส 3 ปี 2560 นี้ (รอยเตอร์)

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังจาก OPEC มองอุปสงค์จะปรับตัวสูงขึ้นในปี 61 และรัสเซียและเวเนซุเอลายืนยันว่าจะปรับลดกำลังการผลิต ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ (+0.8%) อยู่ที่ 54.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 16 เซนต์ (+3%) อยู่ที่ 48.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล(รอยเตอร์)
  • ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาสูงกว่าระดับที่คาดการณ์เกือบ 2 เท่า เนื่องจากเหตุการณ์เฮอริเคนฮาร์วีย์ส่งผลให้โรงกลั่นหลายๆ แห่งลดกำลังการผลิต ขณะที่สต็อกเบนซินและอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง โดยที่สต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรลอยู่ที่ 468.8 ล้านบาร์เรล เทียบกับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.2 ล้านบาร์เรล (เอพีไอ)
  • ราคาทองปรับตัวขึ้นเมื่อวันอังคาร จากดอลลาร์ที่แข็งค่าและปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐกล่าวถึงมาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นต่อเกาหลีเหนือว่า “ไม่มีอะไรเทียบกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในที่สุด”  ราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 1,330.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลง 0.2% ที่ระดับ 1,332.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (รอยเตอร์)