'สิงห์เอสเตท'รุกไทย-ตปท. ลงทุน 5.5หมื่นล้านปี63

'สิงห์เอสเตท'รุกไทย-ตปท. ลงทุน 5.5หมื่นล้านปี63

สิงห์ เอสเตท เดินหน้าสู่บริษัทโฮลดิ้ง ลุยลงทุนธุรกิจอสังหาฯหลากหลายกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563  ชู 4 ธุรกิจหลัก ที่พักอาศัย โรงแรม คอมเมอร์เชียลและธุรกิจใหม่  เล็งขยายลงทุนโรงแรมตลาดเอเชีย วางเป้าปี63 โกยรายได้ 2 หมื่นล้าน

ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปีของ“สิงห์ เอสเตท” ปี2558-2563 วางเป้าหมายลงทุน“แสนล้านบาท” ก้าวสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริษัทโฮลดิ้ง เน้นการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนใหม่ที่เชื่อมโยงกลุ่มอสังหาฯ ทั้งในและต่างประเทศ

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการลงทุนของบริษัทในปีนี้ถึงปี 2563 จะขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มูลค่ากว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล (ธุรกิจค้าปลีกและอาคารสำนักงาน) และธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ เพื่อสร้างโอกาสในอนาคต

บริษัทมีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจรูปแบบ “พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ อินเวสต์เมนท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” เน้นการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในธุรกิจหลากหลาย สอดคล้องกับภาพรวมตลาดและเทรนด์ธุรกิจปัจจุบัน ซึ่งการลงทุนพัฒนาธุรกิจหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนและสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง

เล็งลงทุนโรงแรมตลาดเอเชีย

สำหรับงบประมาณลงทุน 5.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 50% ,ที่พักอาศัย สัดส่วน 30% และธุรกิจคอมเมอร์เชียล  สัดส่วน 20%    

นายนริศ กล่าวว่ามองโอกาสขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศปีละ 1-2 แห่ง ในกลุ่ม 4 ดาวและลักชัวรี  โดยการขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ เน้นตลาดเอเชียและตลาดอินเตอร์เนชั่นอื่นๆ โดยตลาดเอเชียยังมีโอกาสการลงทุนสูงและผลตอบแทนที่ระดับ 7-8%  

ปัจจุบันบริษัทเข้าไปลงทุนโรงแรมในต่างประเทศที่อังกฤษ และเมกะโปรเจค Emboodhoo Lagoon ที่มัลดีฟส์ ซึ่งเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่กับรัฐบาล 9 เกาะ ระยะเวลา 50 ปี และสิทธิต่อสัญญาอีก 49 ปี เฟสแรกพัฒนา 3 เกาะ ลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท รูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบไปด้วย โรงแรม ที่ได้รับความร่วมมือจากฮาร์ดร็อค เข้ามาร่วมพัฒนาธีมโฮเทล เจาะกลุ่มครอบครัวและพื้นที่คอมเมอร์เชียล

ทั้งนี้ คาดว่าจะลงทุนครบทั้ง 9 เกาะ ภายในปี 2565  รวมงบลงทุนโปรเจคมัลดีฟส์ 2 หมื่นล้านบาท แผนการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปมัลดีฟส์ จากการขยายสนามบินใหม่ที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ปีละ 7 ล้านคน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านคน 

ดันกลุ่มโรงแรมเข้าตลาดปี63

ส่วนธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศ ประกอบด้วย สันติบุรี บีช รีสอร์ทแอนด์สปา ที่ สมุย และ พีพี ไอส์แลนด์ ซึ่งอัตราการเข้าพักและราคาได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรก 2560 กลุ่มธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้ 865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

บริษัทวางเป้าหมายการขยายธุรกิจโรงแรมถึงปี 2563  จะมีห้องพักรวม 3,000-4,000 ห้อง โดยมีมูลค่ารวมธุรกิจโรงอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท และวางแผนนำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

พัฒนาที่อยู่อาศัยตลาดบน

นายนริศ กล่าวว่าทิศทางธุรกิจที่อยู่อาศัยช่วงไตรมาสสุดท้าย มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. เป็นต้นไปต่อเนื่องปีหน้า สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นและ จีดีพี เติบโต เชื่อว่ากำลังซื้อจะฟื้นตัวชัดเจนหลังจากนี้ 

รูปแบบการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทเน้นกลุ่มลักชัวรี และระดับกลาง-บน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ มุ่งทำตลาดไทยและนักลงทุนต่างประเทศ 

ช่วงครึ่งหลังปี จะพัฒนาโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการที่พักอาศัยลักชัวรี ที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท 2 โครงการ คือ ดิ เอส แอท สุขุมวิท 36 มูลค่า 6,175  ล้านบาท และ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส บ้านหรูหลังละ 200 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,932 ล้านบาท และโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ซึ่งสิงห์ เอสเตทร่วมถือหุ้น รวม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรีริมแม่นำเจ้าพระยา บันยันทรี เรสซิเดนเซส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ มูลค่า 6,000 ล้านบาท  และโครงการทาวน์โฮม เนอวานา ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1,900 ล้านบาท

ปี63หวังรายได้ 2 หมื่นล้าน

ทางด้านธุรกิจคอมเมอร์เชียล  กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอาคารสำนักงาน ภายในปี 2563 จะมีพื้นที่เช่าราว 2 แสนตร.ม. โดยจะพัฒนาอาคารสำนักงานทั้งเกรดเอและเกรดบี รวม 3 อาคารใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กลุ่มผู้เช่าพื้นที่ 

นายนริศ กล่าวว่าในปี 2563 บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากยอดขายที่อยู่อาศัย 50% และรายได้ประจำ 50% ในส่วนนี้มาจากธุรกิจโรงแรม 35-40%  สำหรับแผนการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ จะอยู่ในช่วงหลังปี 2563 

ไทย-ตปท.ร่วมลงทุน7.7 พันล้าน

ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมด้านการเงิน จากการเพิ่มทุนและการออกหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 7,720 ล้านบาท ส่งผลให้มีฟรีโฟลตเพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 38% โดยมีสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน โดยได้เสนอขายหุ้นใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) มูลค่า 1,664 ล้านบาท ให้กับ บลจ.บัวหลวง บลจ.วรรณ และกองทุนแฟรงกลิน เทมเพิลตัน (Frankling Templeton) ซึ่งเป็นกองทุนที่ติดอันดับท็อป5 ของโลก และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 6,056 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและจับจองเต็มมูลค่า

สำหรับผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1,229 ล้านบาท