'ว่านมหาเมฆ' สมุนไพรความหวัง 'ลดขนรักแร้แต่เพิ่มผมดก'

'ว่านมหาเมฆ' สมุนไพรความหวัง 'ลดขนรักแร้แต่เพิ่มผมดก'

“ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่กระตุ้นการขึ้นใหม่ของผม” และ “ผลิตภัณฑ์ชะลอการเจริญของขนรักแร้-ขนตามร่างกาย” วิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัท สยาม นวัตต จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพร

“ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่กระตุ้นการขึ้นใหม่ของผม” และ “ผลิตภัณฑ์ชะลอการเจริญของขนรักแร้-ขนตามร่างกาย” โดย รศ.กรกนก อิงคนินันท์ หัวหน้าศูนย์เทคโนโลยีสมุนไพร ร่วมกับ รศ.เนติ วระนุช ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ คณะเภสัชศาสตร์ ที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัท สยาม นวัตต จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพร


คณะนักวิจัยศึกษาคุณภาพเชิงลึกของ “สารสกัดว่านมหาเมฆ” พืชวงศ์เดียวกับขมิ้น พบมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายทั้งในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง โดยสารหลักที่ออกฤทธิ์สูงสุดคือ “เจอมาโครน” จากนั้นได้ศึกษาคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของสารสกัด และพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมสำหรับผู้มีปัญหาศีรษะล้านจากสารสกัดมาตรฐานนี้ผลการทดสอบความปลอดภัย พบว่า ผลิตภัณฑ์ไม่มีปัญหาด้านการระคายเคืองต่อผิว ขณะที่ประสิทธิภาพเชิงคลินิกในอาสาสมัครชาย 87 คนที่มีภาวะศีรษะล้านในโรงพยาบาลของรัฐ 3 แห่ง โดยศึกษาแบบสุ่มเทียบกับยาหลอกและยาไมน็อกซิดิล ซึ่งเป็นยากระตุ้นการเจริญของผม


สารสกัดนี้ช่วยเพิ่มการเจริญของผมอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก และแสดงผลเทียบเท่ากับไมน็อกซิดิล แต่ผลจะดียิ่งขึ้นถ้าใช้สารสกัดร่วมกับยาดังกล่าว โครงงานวิจัยนี้จึง แสดงถึงศักยภาพสารสกัดว่านมหาเมฆมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์กระตุ้นการเจริญของผม โดยได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้วและเมื่อปีที่ผ่านมาก็ได้ส่งต่อความรู้ให้ภาคธุรกิจเอกชนนำไปต่อยอดสู่ตลาด

นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ผ่านทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ยังศึกษาสารสกัดว่านมหาเมฆด้านการยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชะลอการเจริญของขนรักแร้ ทั้งนี้ การมีฮอร์โมนเพศชายมากจะนำไปสู่การเจริญของขนตามลำตัวและใบหน้ามากกว่าปกติ


“ทีมงานพัฒนาให้เป็นโรลออนใช้ประเมินประสิทธิภาพเชิงคลินิกในอาสาสมัครหญิง 30 คน ทั้งศึกษาแบบสุ่มและควบคุมด้วยยาหลอก พบว่าอัตราการเจริญของขนรักแร้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ไป 4 สัปดาห์เมื่อเทียบกับยาหลอก” รศ.กรกนก กล่าว