ก้าวใหม่กาแฟไทย ไปไกลได้อีก

ก้าวใหม่กาแฟไทย ไปไกลได้อีก

เกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้มีการปลูกกาแฟมากขึ้น เพราะเมล็ดกาแฟสามารถขายได้ราคาสูง ซึ่งการปลูกกาแฟเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจแทนการทำสวนยางพารา โดยเฉพาะจังหวัดชุมพรเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟโรบัสต้ามากที่สุดในประเทศ

นายปิยะ หนูสุด ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ปลุกกาแฟจังหวัดชุมพร ให้ข้อมูลกับรายการBusiness101ว่า กาแฟโรบัสต้าปลูกง่ายกว่าอะราบิก้า ปัจจุบันผลผลิตของพี่น้องผู้ปลูกกาแฟอยู่ที่ 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ และราคาช่วงนี้ถือว่าดีที่สุดในรอบทศวรรษคือมากกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนในช่วงเก็บเกี่ยวอยู่ที่ไร่ละไม่เกิน 60 บาท จึงยังพอมีส่วนต่างให้ชาวไร่กาแฟลืมตาอ้าปากได้ สหกรณ์ที่ชุมพรมีสมาชิกผู้ปลูกกาแฟประมาณ 1 พันครัวเรือน แต่ละครัวเรือนเมื่อเก็บเกี่ยวผลกาแฟ จะนำไปสีและได้ “กาแฟสาร” ซึ่งจะถูกขายต่อเพื่อนำไปคั่วต่อไป โดยสหกรณ์จะติดต่อกับโรงคั่วขนาดใหญ่เพื่อขายในปริมาณมาก กาแฟทรีอินวันต้องขายให้กับโรงคั่วขนาดใหญ่ เพราะลำพังสหกรณ์เองไม่มีเงินทุนสำหรับการซื้อเครื่องจักรเพื่อใช้ในกระบวนการดังกล่าว กาแฟโรบัสต้ามีรสชาติเปรี้ยวในตัว จึงต้องผ่านการบ่มกาแฟซึ่งกินเวลา 8 เดือนถึง 1 ปี กว่าที่จะนำมาคั่วได้ โดยปกติชาวไร่กาแฟใช้เวลาปลูกกาแฟ 2-3 ปี จึงจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งถือว่าใช้เวลาไม่นานนัก ส่วนการเลือกพื้นที่ปลูกนั้น ต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตรขึ้นไป ขณะที่ความชื้นต้องเหมาะสมด้วย จังหวัดชุมพรจึงเป็นที่ตั้งที่เหมาะสมและปลูกกาแฟโรบัสต้ามากที่สุดของประเทศ แม้ว่าราคาขายจะต่ำกว่ากาแฟอะราบิก้า แต่ทางสหกรณ์ก็ใช้วิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้เมล็ดกาแฟด้วยการบ่มกาแฟจนรสชาติดี หอม และเปรี้ยวน้อยลง จึงทำตลาดได้ง่ายขึ้น

ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ปลุกกาแฟจังหวัดชุมพร ยังชี้ให้เห็นว่าปัญหาของคนทำไร่กาแฟคือปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะที่ชุมพรไม่ค่อยได้ใช้แรงงานต่างด้าว แต่เป็นแรงงานคนไทยจากทางภาคอีสานที่เสร็จจากการเก็บเกี่ยวข้าวในหน้านามากกว่า ซึ่งควบคุมปริมาณคนได้ยากสวนทางกลับลักษณะงานที่ต้องใช้แรงงานสูง ขณะที่ผู้ปลูกกาแฟยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านเกษตรกรรมรวมถึงโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วย เนื่องจากในพื้นที่มีพืชเศรษฐกิจหลายตัว บางส่วนอาจจะปลูกไปพร้อมกับยางพารา ขณะที่ส่วนใหญ่จะปลูกกาแฟเชิงเดี่ยวมากกว่า จึงยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า