40ลูกหนี้ร้องปลัดยธ. สั่งสอบนายทุนฉาว รีดภาษี-ฟอกเงิน

40ลูกหนี้ร้องปลัดยธ. สั่งสอบนายทุนฉาว รีดภาษี-ฟอกเงิน

ยธ.-สตช. ผนึกกำลังช่วย40ลูกหนี้จ.ประจวบฯ หลังถูกนายทุนเงินกู้นอกระบบบังคับทำสัญญาขายฝากเรียกดอกโหด ข่มขู่ยึดบ้านที่ดิน ส่งดีเอสไอลุยสอบภาษี-ฟอกเงิน เตือนกำนัน-ผญบ.เป็นเครื่องมือนายทุน

กระทรวงยุติธรรม - 23 ส.ค.60 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่ปรึกษาสบ.10 นำลูกหนี้กว่า 40 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนเงินกู้นอกระบบในจ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าพบนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ช่วยเหลือเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาลูกหนี้นอกระบบ

นายวิศิษฏ์ กล่าวว่า จะรับเรื่องไว้ตรวจสอบและเร่งให้การช่วยเหลือ เบื้อวต้นพบว่ามีการเรียกดอกเบี้ยเกินกฏหมายกำหนดในอัตราร้อยละ 36-48 ต่อปี โดยกระทรวงยุติธรรมจะมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากการดำเนินคดีข้อหาเรียกเก็บดอกเกินอัตรา ยังต้องตรวจสอบรายการชำระภาษีย้อนหลัง และความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายให้ครบถ้วนทุกฐานความผิด ทั้งนี้ต้องจำแนกรายละเอียดของลูกหนี้ออกเป็นกลุ่ม เพราะแต่ละรายมีสัญญาเงินกู้แตกต่างกัน มีการทำสัญญาขายฝากและจำนองโฉนดที่ดิน นส.3 ก. และ ภบท.5 โดยในรายที่ถูกยึดทรัพย์ไปแล้วจะมอบหมายให้กรมบังคับคดีเข้ามาไกล่เกลี่ยหนี้ในชั้นบังคับคดี นอกจากนี้จะหารือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักในการช่วยเหลือลูกหนี้นอก เพื่อหาแหล่งเงินทุนที่เหลือเข้าไปช่วยชำระหนี้

นายวิศิษฏ์ กล่าวถึงการแก้ไขกฎหมายขายฝากว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานกิจการยุติธรรม ซึ่งต้องทำให้รอบคอบ เพราะมีหลายมิติทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาลูกหนี้นอกระบบที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มนายทุน ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่จ.ชัยภูมิ โดยดีเอสไอได้ให้ความช่วยเหลือคืนความเป็นธรรมสำเร็จไปแล้วหลายราย กรณีจ.ประจวบฯและพื้นที่อื่นๆ จะใช้โมเดลแก้ปัญหารูปแบบเดียวกัน โดยกำชับให้ตรวจสอบรายละเอียดลูกหนี้แต่ละรายเพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือให้ชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์

นางนันทา (สงวนนามสกุล) ชาวบ้านอ.ปราณบุรี กล่าวว่า ตนไปกู้เงินจากนายทุน 5 แสนบาท แต่ได้รับเงินต้นไม่ครบเต็มจำนวนตามสัญญา และถูกบังคับให้นำบ้านพร้อมที่ดินเนื้อที่ 1 งานในอ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาทำสัญญาขายฝาก โดยผ่อนเงืนกู้ไปได้ 8 เดือนแล้วผ่อนต่อไม่ไหวจึงถูกนายทุนยึดบ้าน ซึ่งนายทุนเสนอจะขายบ้านคืนให้ในราคา 1.1 ล้านบาท แต่ตนต่อรองราคาเหลือ 9 แสนบาท และมอบเงินให้ไป 3 แสนบาท สุดท้ายผ่อนต่อไม่ไหวจึงถูกยึดบ้าน และต้องเช่าบ้านตัวเองอยู่เดือนละ 7 ,000 บาท ก่อนต่อรองเหลือ 5,000 บาท เมื่อไม่มีเงินค่าเช่าจึงต้องย้ายออกมาปลูกเพิกพักใกล้กับบ้านของตัวเอง

ภายหลังการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมและสตช. พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สรุปแนวทางการช่วยเหลือชาวบ้าน 18 รายว่า ชาวบ้านที่ถูกยึดบ้านจากการขายฝากจะส่งทนายยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายฝาก เนื่องจากสัญญาไม่เป็นธรรมและเป็นนิติกรรมอำพราง ส่วนชาวบ้านที่ถูกบังคับเปลี่ยนชื่อในใบภบท.5 โดยมีผู้ใหญ่บ้านและกำนันเป็นผู้เซ็นเปลี่ยนชื่อครอบครอง ขอเตือนให้หยุดการกระทำดังกล่าวไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีข้อหาร่วมสนับสนุนการกระทำผิด เนื่องจากชื่อผู้ครอบครองที่ดินตามใบภทบ.5 จะเปลี่ยนแปลงได้ต่อเมื่อเป็นการเปลี่ยนผู้ทำประโยชน์บนที่ดินทำกิน ไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ด้วยเหตุผลอื่น พร้อมแนะนำผู้ครอบครองไม่ให้ย้ายออกจากพื้นที่ตามคำขู่ เพื่อยืนยันสิทธิ์การครองครอบที่ดินทำกินตามกฎหมาย

สำหรับนายทุนเงินกู้นอกระบบรายนี้ ภายหลังถูกร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหาย ตำรวจเข้าตรวจสอบบริษัทของเสี่ย ป. ซึ่งปล่อยเงินกู้และเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ในพื้นที่ดังกล่าวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบแผ่นป้ายทะเบียนรถมากกว่า 50 แผ่นป้าย ที่ลูกหนี้นำมาค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารการกู้ยืมเงิน พร้อมโฉนดที่ดินที่ถูกนำมาวางหลักประกันไว้ อีกหลายรายการ ซึ่งการตรวจสอบโฉนดที่ดินที่ตรวจยึดไว้ มีผู้ครอบครองทั้งสิ้น จำนวน 80 ราย ตำรวจเชิญตัว มาสอบปากคำแล้ว 60 คน โดยพบว่า ส่วนใหญ่ผ่อนชำระดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 36 ถึง 48 ต่อปี และพบว่า ผู้เสียหายบางส่วน ได้โอนกรรมสิทธิในที่ดินให้ไปแล้วจำนวน 18 คน โดยไม่ทราบสิทธิ์ตามกฏหมาย และมีผู้เสียหายบางคน เมื่อผ่อนชำระดอกเบี้ยไปแล้ว จะนำเงินต้นไปไถ่ถอนทรัพย์สินคืน นายทุนไม่ยินยอมคืนทรัพย์สินให้ และให้ผู้เสียหาย นำเงินจำนวนที่สูงกว่าเงินต้นที่ยืมไป มาไถ่ถอนทรัพย์สินคืน