หากชีวิตหลังเรือนจำถือเป็นการเริ่มต้น นี่คงเป็นวิถีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ต้องขังเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนเดินออกไป
ถ้าเดินผ่านอาคารเรือนนอนไปอีกนิด คุณจะพบกับห้องนวดแผนไทย ที่แห่งนี้ให้บริการนวดทุกรูปแบบ ทั้งคลายเส้น กดจุด นวดประคบ อบสมุนไพร
ตรงชั้นล่าง อาคารเดียวกัน ให้สังเกตป้าย “อโยธยาซาลอน” เป็นหลัก ที่ตรงนี้คือพื้นที่เสริมสวย ซอย ตัด ดัด ยืด โดยมีพนักงานเสื้อคลุมสีขาวบนเครื่องแบบผู้ต้องขังหญิง ป้ายแผ่นยาวด้านหน้าบอกราคาชัดเจน ซอยเซ็ตแต่งทรง 85 บาท ผมสั้น 50 บาท ใครทำเล็บมือเริ่มที่ 30 บาท ส่วนเล็บเท้า 40 บาท…(ขาดตัว)
ผู้ต้องขังหญิงรายหนึ่ง ในเรือนจำ จ.พระนครศรีอยุธยา บอกว่า ถึงจะต้องโทษอยู่ในเรือนจำแต่ความรักสวยรักงามของเธอไม่เคยเปลี่ยน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งเธอจะแวะเวียนมาที่แห่งนี้
ขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการย้ำชัดว่า ทักษะวิชาชีพซึ่งถูกฝึกระหว่างถูกคุมขังนี้ จะเป็นบันไดให้เธอก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ที่กว่าเดิม
นักโทษที่ถูกลืม
Orange Is the New Black น่าจะเป็นซีรีส์อเมริกันชื่อดังที่ทำให้คนดูทั้งโลกสนใจชีวิตในทัณฑสถานหญิง หรือ Jailbait ซึ่งมีนักแสดงไทยร่วมอยู่ด้วยอาจเป็นภาพยนตร์ที่ฉายภาพด้านมืดของบรรดาผู้คุมชายสายหื่น แต่หนังก็คือหนัง มันเป็นเรื่องแต่งที่คนสร้างต่อเติมตามจินตนาการ
เรื่องจริงก็คือว่า จำนวนผู้ต้องขังหญิงใน 10 ปีหลังเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจากสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ต้องขังหญิง 38,678 คนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2551 และนับเป็นลำดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อย่างไรก็ดีเรือนจำส่วนใหญ่ที่กั้นอิสระภาพจากภายนอกล้วนออกแบบด้วยโครงสร้างและกติกาสำหรับนักโทษชาย บนความไร้อิสระมันจึงปฏิบัติกับคนเป็นเพศหญิงได้ไม่ดีนัก
ดร.นัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาพิเศษ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า ข้อปฏิบัติที่ถูกใช้เหล่านั้นสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งผลให้ผู้ต้องขังหญิงที่มีความต้องการพื้นฐานด้านเพศสภาวะต่างจากผู้ชายถูกละเลย และเมื่อพวกเธอถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ ก็เหมือนตกเป็นเหยื่อซ้ำสองเมื่อเข้าสู่เรือนจำ มีความเสี่ยงในการกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก
“ภูมิหลังของนักโทษหญิงมักคล้ายๆ กัน ผู้ต้องขังหญิงจำนวนมากมีประวัติการถูกข่มเหง กระทำทารุณ มีความบอกช้ำทางจิตใจ มีประวัติการใช้ยาเสพติด รวมไปถึงการขาดโอกาสได้รับการศึกษาและโอกาสในการประกอบอาชีพ เราจึงจำเป็นต้องฟื้นฟูเยียวยา ก่อนคืนสังคมเพื่อลดความผิดซ้ำอีก ไม่ใช่ถูกปฏิบัติในเรือนจำอย่างผิดหลัก เริ่มตั้งแต่การตรวจร่างกายต้องกระทำด้วยผู้คุมที่เป็นเพศหญิงเท่านั้น”
เรือนจำ เจนฯใหม่
ข้างต้นคือที่มาส่วนหนึ่งของการนำเสนอ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (Bangkok Rules) หรือ “ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง” ซึ่งพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเล็งเห็นปัญหาและร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องผลักดัน และเวทีสหประชาชาติก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถาบันฯ มีหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามมาตรฐานของข้อกำหนดกรุงเทพ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เรือนจำ และทัณฑสถานหญิงทั่วโลกคำนึงถึงความแตกต่างทางเพศสภาพในหลายๆ ด้านในการบริหารจัดการเรือนจำและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังและผู้กระทำผิดหญิงด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และการเลี้ยงดูทารกแรกเกิด พร้อมทั้งขับเคลื่อนให้มีเรือนจำและทัณฑสถานที่ผ่านการประเมินให้เป็น 'เรือนจำต้นแบบ'
ล่าสุดข้อกำหนดกรุงเทพได้ถูกนำไปปรับใช้ในเรือนจำแถบภูมิภาคอาเซียน เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์สำคัญในการราชทัณฑ์หญิงของผู้หญิงที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา และเน้นการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความต้องการเฉพาะด้านเพศสภาวะของผู้หญิงและเด็กติดผู้ต้องขังเพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีสำหรับการปฏิบัติต่อผู้หญิง
ซัลวา ซาเร่ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และการวิจัย เรือนจำประเทศบรูไน บอกว่า ประเทศบรูไนมีเรือนจำเพียงแห่งเดียว ทำให้เรือนจำประกอบไปด้วยนักโทษที่มีความหลากหลาย มีการป้องกันด้านความมั่นคงทั้งในระดับสูงและต่ำในที่เดียวกัน การเลือกมาดูงานในประเทศไทยเพราะต้องการเข้าใจเรื่องสิทธิผู้ต้องหาหญิงซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญของผู้ต้องหาหญิงที่มีบุตร ซึ่งความเป็นแม่ไม่ได้ถูกตัดขาดจากอิสรภาพในที่คุมขัง
สำหรับแบบประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพ เริ่มตั้งแต่ต้นกระบวนการรับนักโทษ สุขอนามัย ความปลอดภัยและความมั่นคง การติดต่อกับโลกภายนอก การจำแนกลักษณะและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทั้งรายบุคคล ผู้ต้องขังพิเศษ ชาวต่างชาติ ชนกลุ่มน้อย ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์ ผู้ต้องขังให้นมบุตร จนถึงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2558-2559 มีเรือนจำต้นแบบในประเทศแล้ว 6 แห่ง ได้แก่ เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิง ทัณฑสถานหญิงชลบุรี และเรือนจำกลางสมุทรสงคราม
ดร.บาร์บารา โอเวน จากประเทศอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้อกำหนดกรุงเทพ กล่าวระหว่างลงพื้นที่จัดอบรมว่าด้วยการบริหารจัดการผู้ต้องหาตามข้อกำหนดแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนว่า ข้อกำหนดกรุงเทพคือแนวทางปฏิบัติที่สากลมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม และเมื่อเปรียบเทียบการคุมขังของเรือนจำพบว่าในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา มักเน้นนโยบายการทำโทษที่ค่อนข้างรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อความมั่นคง ขณะที่ฝั่งประเทศยุโรป อย่าง นอร์เวย์ เยอรมนี เป็นเรือนจำแบบเปิดซึ่งมีมาตรฐานค่อนข้างสูง ส่วนของไทยมีจุดเด่นเรื่องการฟื้นฟูผู้กระทำความผิดให้กลับมาใช้ชีวิตภายหลังพ้นโทษได้
ดร.ซาแมนทา เจฟฟรีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาและเพศสภาวะ มหาวิทยาลัย Griffith ประเทศออสเตรเลีย พูดถึงเรือนจำในประเทศออสเตรเลียว่า เต็มไปด้วยผู้ต้องขังชนกลุ่มน้อย ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก และจากการสำรวจพบว่าประเทศไทยโดดเด่นเริ่องการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต้องขังหญิงที่มีลูก ซึ่งในประเทศไทยสนองในประเด็นนี้มาก เพื่อให้ผู้ต้องขังหญิงดำเนินความเป็นแม่ได้ต่อ แม้จะต้องโทษอยู่ก็ตาม
ชีวิตใหม่ ใกล้เข้ามา
หลังภาพยนตร์สารคดี Where to Invade Next ของไมเคิล มัวร์ เข้าฉายในบ้านเรา หนึ่งในเรื่องที่ผู้คนพูดถึงคือเรื่องเรือนจำประเทศนอร์เวย์ ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้นักโทษมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี นั่นเพราะพวกเขาเชื่อว่าการปฎิบัติต่อกันในฐานะมนุษย์ จะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมของนักโทษได้
อาจไม่ถึงขนาดตัวอย่างข้างต้น แต่เรือนจำต้นแบบ จ.พระนครศรีอยุธยาที่เราได้สำรวจเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็พบว่านโยบายการฟื้นฟูเยียวยาผู้ต้องขังมีความเป็นรูปธรรม ทั้งความพยายามสร้างกิจกรรมสันทนาการ การสร้างอาชีพเพื่อให้ผู้ต้องหาได้ค้นพบตัวเอง และเดินตามความมุ่งหวังที่ตัวเองตั้งไว้เมื่อถึงวันพ้นโทษ
อดุลย์ ชูสุวรรณ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บอกว่า ภายในเรือนจำ มีการแบ่งสัดส่วนโซนกิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้ต้องขังหญิงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมุมอ่านหนังสือ การเล่นโยคะ การฝึกอาชีพต่างๆ เช่น การเสริมสวย การทำอาหาร ฯลฯ จากเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ทั้งภายใน และอาจารย์ภายนอก
กิจกรรมเหล่านี้นอกจากเพื่อให้ผู้ต้องขังใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่าแล้ว ยังเน้นการฝึกอาชีพเพื่อให้เกิดรายได้ ด้วยหวังว่าเมื่อออกจากเรือนจำไปแล้วผู้ต้องขังจะสามารถประกอบสัมมาชีพได้ ตรงกับวัตถุประสงค์หลักของกรมราชทัณฑ์ คือ จะทำอย่างไรให้สังคมยอมรับ ต้อนรับบุคคลที่หลงผิดให้กลับคืนสู่สังคม และให้ผู้ต้องขังหญิงที่พ้นโทษไปแล้วมีความคิด กำลังใจที่ดี และจะไม่หันเหไปประพฤติสิ่งที่มิชอบอีก
แม้ในอดีตพวกเธออาจเป็นหนึ่งในวงจรค้ายาเสพติด (ความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีสถิติสูงที่สุดในเรือนจำหญิง) แต่วันนี้พวกเธอต่างศึกษาถึงช่องทางทำมาหากินของตัวเอง โดยหลักสูตรยอดนิยมคือ การทำอาหาร การทำธุรกิจ SME ซึ่งมีบุคลากรจากภายนอกเข้ามาติวเข้ม ไล่ตั้งแต่การสอนให้สำรวจตลาด หากลุ่มเป้าหมาย การสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ และการสื่อสารแบรนด์สินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
“เรื่องแบบนี้ตอนอยู่ข้างนอกเราไม่สนใจเลย แต่เรากลับได้มาเรียนรู้ข้างใน ที่สนใจเพราะว่าอยากจะทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามของตัวเอง อาจจะไปหาสูตรสมุนไพรพื้นบ้าน หรือติดต่อกลุ่มผู้ที่รับจ้างผลิต แล้วมาทำสินค้าของเราเอง มีเราเป็นเจ้าของ ถ้าได้ออกเมื่อไรไปก็คิดว่าจะทำเรื่องนี้” นักโทษหญิงคนหนึ่งบอกความฝัน
ขณะที่บาริสต้าสาว ที่ร้านกาแฟหน้าอาคารเรือนจำ หนึ่งในผู้ได้รับสิทธิให้ออกมาทำงานภายนอกลูกกรง หลังจากรับโทษเกินกึ่งหนึ่ง และมีความประพฤติดี บอกว่า ทุกๆ วันเธอจะออกมาทำงานที่ร้านตั้งแต่ 9.00-16.00น. จากนั้นก็จะกลับไปปฏิบัติตัวเหมือนกับนักโทษรายอื่นๆ เช่นเดียวกับผู้ได้รับสิทธิทำงานในร้านอาหารใกล้ๆ ซึ่งอยู่ในช่วงฝึกงานหลังได้เรียนทักษะวิชาชีพที่ชอบในเรือนจำ
“คิดว่าออกไปจะเปิดร้านกาแฟ อาจจะเป็นแผงเล็กๆ ขายน้ำ ขายอาหาร เรารู้ตัวแล้วว่าชอบงานนี้ เวลาเห็นลูกค้าทานหมด หรือชมว่าอร่อยแล้วเรารู้สึกมีความสุข คิดว่าจะมีธุรกิจเล็กๆไว้เพื่อการเริ่มต้นใหม่” เธอบอกความรู้สึกหลังเล่ากิจวัตรการงานตลอด 6 เดือนล่าสุด
มันเป็นทั้งความรู้สึกและเป้าหมาย ที่อยากจะบอกใครต่อใครหลังจากได้บทลงโทษ บทเรียนจากการกระทำในอดีต
ณ แดนผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ จ.พระนครศรีอยุธยา หากคุณเดินเข้ามาตรงอาคารแรกรับ คุณจะเห็นกระดานไวท์บอร์ดขาวซึ่งมีตัวหนังสือสีน้ำเงินเขียนไว้ชัด
ผู้ต้องขังหญิงรวม 563 คน มีความต้องการไปทำการเกษตร 23 คน ไปประกอบกิจการขายอาหาร 117 คน ทำอาชีพรับจ้าง 127 คน และอีก ฯลฯ ทั้งหมดถูกเขียนเอาไว้ราวกับทุกคนล้วนมีเป้าหมายของตัวเอง
ถ้าเรือนจำแบบเก่าคือความไม่ปลอดภัย น่ากลัว และมัวหมอง
คงเป็นเรือนจำเจนเนอเรชั่นใหม่เท่านั้น ที่จะจุดประกายความหวังเช่นนี้ได้