หนุ่มพิการตาบอด ร้องสภาทนายความฯ โวยบุกจับคดียาบ้า

หนุ่มพิการตาบอด ร้องสภาทนายความฯ โวยบุกจับคดียาบ้า

หนุ่มพิการตาบอด ร้องสภาทนายความฯ หลังถูกรุ่นน้องแกล้งนำยาบ้ามารักษาอาการให้ ก่อนถูกตำรวจบุกจับในคดียาบ้า 21 เม็ด ซ้ำร้ายยังตกเป็นเหยื่อทนาย หลอกให้รับสารภาพ จนถูกตัดสินจำคุก 4 ปี 9 เดือน

นายสามารถ สุกสุด อายุ 39 ปี ผู้พิการตาบอด และป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง พร้อมญาติ ได้เดินทางเข้าร้องเรียนที่สภาทนายความ หลังถูกตำรวจ สภ.เมืองอุทัยธานี จับกุมพร้อมยาบ้า จำนวน 21 เม็ด โดยแจ้งข้อหาเสพยาบ้า และครอบครองยาเสพติดประเภท 1(ยาบ้า)ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย  เหตุเกิดเมื่อเช้าวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ที่บ้านพักใน ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี

นายสามารถ ระบุว่า ตนป่วยและเป็นผู้พิการทางสายตา โดยปกติจะอยู่บ้านที่ จ.อุทัยธานี เพียงคนเดียว และมารดาจะเป็นผู้นำอาหารมาให้กินทุกวัน ซึ่งเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว มีรุ่นน้องที่เคยรู้จักกันบวชเป็นพระในวัดแห่งหนึ่ง ในตัวเมือง จ.อุทัยธานี โดยได้มาเยี่ยมตนที่บ้านพร้อมกับลูกศิษย์วัด และตนได้บอกว่ามีอาการปวดหลัง จากนั้นอีก 2 วัน พระรูปนั้นได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับนำอาหารและยาที่อ้างว่าแก้ปวดหลังมาฝาก ซึ่งเมื่อตนกินก็ไม่ปวด  พระและลูกศิษย์จึงทิ้งยาไว้ให้กินต่อ หลังจากนั้นเพียง 1-2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาที่บ้าน ก่อนทำการตรวจค้นพร้อมกับตรวจปัสสาวะของตนเอง และพบว่าเป็นสีม่วง จึงเพิ่งทราบว่า ยาที่นำมาให้ตนกินเป็นยาเสพติด และตนได้ถูกจับกุมไปทำบันทึกจับกุม พร้อมส่งฟ้องศาล

นายสามารถ เล่าอีกว่า หลังจากนั้น มารดาของตนเองจึงจ้างทนายเป็นเงิน 4 หมื่นบาท ให้มาว่าความให้ แต่ทนายระบุค่าดำเนินการทั้งหมด 6 หมื่นบาท ก่อนจะให้ตนรับสารภาพ ซึ่งคราวแรกตนไม่ยอมยืนยันจะสู้คดีเพราะไม่ผิด แต่ทนายความที่ดูแลคดีแนะนำว่า ผู้ต้องหาตาบอดและป่วย ให้รับสารภาพไปก่อน เพื่อศาลจะได้เมตตารอลงอาญา ทำให้ตนเองต้องตกลงรับสารภาพในศาล กระทั่งศาลจังหวัดอุทัยธานีพิพากษา วันที่ 18 ก.ค.60 ให้จำคุก 9 ปี 6 เดือน แต่จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือ 4 ปี 9 เดือน โดยไม่มีการรอลงอาญา ก่อนจะประกันตัวในวงเงิน 4 หมื่นบาท ออกมาเพื่อมาร้องสภาทนายความ ซึ่งตนขอยืนยันว่า สายตามองไม่เห็น แม้แต่เงินยังไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นแบงค์อะไร แล้วจะไปขายยาได้อย่างไร แต่ที่รับสารภาพเพราะทนายความที่จ้างมา บอกให้ตนทำตามคำแนะนำ ซึ่งตนก็ไม่ทราบกฎหมาย

นายสามารถ เล่าว่า ที่มาร้องเรียนต่อสภาทนายความ เพราะต้องการขอคำปรึกษาทางกฏหมาย ว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้ว และขอตรวจสอบจรรยาบรรณทนายความ ที่รับว่าความในคดีของตนนั้น ทำถูกต้องมากน้อยเพียงใด