'รมว.คลัง'ชี้รัฐเร่งลงทุนดันจีดีพีไตรมาส 2 พุ่ง!!

'รมว.คลัง'ชี้รัฐเร่งลงทุนดันจีดีพีไตรมาส 2 พุ่ง!!

"รมว.คลัง" ชี้รัฐบาลเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันจีดีพีไตรมาส 2 พุ่ง มั่นใจลงทุนอีอีซีเต็มกำลังดันจีดีพีโต 4-5% ภายใน 2-3 ปี

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการรคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2 ของปีขยายตัว 3.7% นับว่าขยายตัวได้ดีมาก เป็นผลจากรัฐบาลเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อปูพื้นฐานให้เข้มแข็ง จึงส่งผลให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง กระทรวงการคลังมองว่าหากรัฐบาลขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจขยายตัวเต็มศักยภาพ 4-5% เริ่มใกล้ความเป็นจริง เพราะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี ) นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว จึงทยอยมาขอลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมลงทุน (บีโอไอ) จำนวนมาก หากลงทุนในอีอีซีเต็มที่จะทำให้จีดีพีไทยโตถึง 5% ในช่วง 2-3 ปี

นายอภิศักดิ์ ยอมรับว่า ในอดีตเมื่อเศรษฐกิจของไทยเติบโตกว่า 10% ช่วยให้คนจนลดลงมาก แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเมื่อเศรษฐกิจไทยหยุดขยายตัว จึงทำให้คนจนกลับมาเพิ่มขึ้น เมื่อรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่ม เช่น การลงทะเบียนสวัสดิการภาครัฐให้กับผู้มีรายได้น้อย เพื่อลดภาระค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็ว ๆ นี้ เพื่อดูแลผู้มีรายได้น้อยต่ำกว่าเส้นความยากจน รายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ขณะนี้กำลังพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัด เรื่องความยากจนให้ชัดเจน เบื้องต้นให้ทำบัญชีครัวเรือน โดยแบงก์รัฐดำเนินการไปแล้วบางส่วน คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะทำให้แก้ปัญหาความยากจนดีขึ้น

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 3.5-4% และเชื่อว่าทั้งปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย เพราะเครื่องยนต์ขับเคลื่อนดีขึ้นทุกตัวทั้งการส่งออกที่เคยหายไป 5 ปี และกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ การลงทุนเอกชนเริ่มเติบโตขึ้น ส่วนการลงทุนภาครัฐแม้ชะลอลงไปไม่ใช่ประเด็นน่ากังวล เพราะครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่มีโครงการภาครัฐเริ่มเดินหน้า ซึ่งจะมีการเบิกจ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรกแน่นอน

ส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อนสำหรับเศรษฐกิจไทยตอนนี้เหลือเพียงกำลังซื้อของเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าเกษตรเป็นสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามสถานการณ์การส่งออก แต่คงไม่ได้กลับไปสู่ระดับสูงสุด เช่นราคายางพาราขึ้นไปอยู่ระดับสูงมาก ถ้าปรับขึ้นมาอยู่ที่ 70-80 บาทต่อกิโลกรัม เชื่อว่าจะดูแลเกษตรกรให้อยู่ได้