ไทยแอร์ฯเอ็กซ์เล็งผู้นำ‘บินตรง’ยุโรปตะวันออก

ไทยแอร์ฯเอ็กซ์เล็งผู้นำ‘บินตรง’ยุโรปตะวันออก

แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ชูธงเป็นแอร์ไลน์หลักเชื่อมเครือข่ายบินยุโรปตะวันออก ชี้โอกาสตลาดยังเปิดกว้าง หลายเมืองขาดเส้นทางตรงเชื่อมต่อเอเชีย ด้านไทยแอร์เอเชีย เล็งปรับโครงสร้างกระจายเสี่ยง 4 ตลาดหลัก

นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ในฐานะกรรมการบริษัทไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จำกัด กล่าวว่า มองทิศทางอุตสาหกรรมการบินในประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 จะอยู่ในทิศทางสดใส และเป็นการปรับตัวที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปีนี้ที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และคาดการณ์อัตราบรรทุกเฉลี่ยไว้ราว 84-85% ประกอบกับธุรกิจการบินในภาพรวมสามารถขยายเส้นทางได้เต็มที่ เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ปลดล็อคธงแดงจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ภายในช่วงปลายปีนี้ได้ตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ การขยายเส้นทางของไทยแอร์เอเชีย ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีอุปสรรคเนื่องจากสามารถขยายเข้าเส้นทางในจีน, อินเดีย และอาเซียนได้ตามปกติ แต่สำหรับไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ซึ่งเป็นสายการบินระยะไกลในเครือข่าย ไม่สามารถขยายจุดบินและเพิ่มความถี่ในจุดหมายที่เป็นตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ได้ ดังนั้น คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 เมื่อปลดล็อคธงแดงแล้ว จะกลับไปเติมเต็มเส้นทางใน 2 ประเทศดังกล่าวก่อน

ส่วนครึ่งปีหลังเตรียมขยายเส้นทางบินไกลสู่ยุโรปตะวันออกหลายเส้นทางพร้อมกัน หลังจากที่ศึกษาตลาดแล้วพบว่ามีศักยภาพเติบโต สนามบินต่างๆ ให้สิทธิประโยชน์จูงใจในการเปิดเส้นทาง ประกอบกับที่ผ่านมามีแต่สายการบินรายใหญ่ให้บริการเต็มรูปแบบ ในเส้นทางเมืองหลักอย่าง ปารีส, ลอนดอน, แฟรงค์เฟิร์ต 

แต่ยังขาดเที่ยวบินตรงเชื่อมต่อประเทศยุโรปตะวันออกกับในเอเชีย ลูกค้าในเส้นทางนี้ส่วนใหญ่จึงยังต้องใช้บริการสายการบินตะวันออกกลางต่อเครื่องเป็นหลัก ทั้งที่เป็นเมืองที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวเอเชียสนใจเดินทางไปเพิ่มขึ้น มีข้อดีในเชิงภูมิศาสตร์สนับสนุนการขับรถเที่ยวระหว่างเมืองต่อเมืองได้ง่าย

นอกจากนั้นฐานประชากรบางประเทศมีจำนวนกว่า 60-70 ล้านคน สามารถทำตลาดอินบาวด์เข้ามาไทย และเสนอบริการเส้นทางเชื่อมต่อจากฮับในไทยไปยังเส้นทางที่ไทยแอร์เอเชีย ในเครือข่ายเปิดบินอยู่ รวมถึงการมองเส้นทางที่ตอบสนองความต้องการรายตลาด โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นจุดหมายที่กรุงเทพฯ เช่น หากนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันออก มีดีมานด์การเดินทางลงจุดหมายชายทะเล ก็สามารถนำเสนอเส้นทางเช่น อู่ตะเภา หรือภูเก็ตได้

หากปลดธงแดงได้แล้ว ปีหน้าเป็นต้นไป การขยายฝูงบินของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ปีละ 4-5 ลำ ก็มีความเป็นไปได้ และตั้งเป้าเป็นสายการบินหลักที่เชื่อมโยงเส้นทางยุโรปตะวันออกกับไทย รวมถึงในเอเชียด้วย

มองว่าสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้คุ้มค่ามากขึ้น เนื่องจากมีแผนรับเครื่องบินแอร์บัส เอ330 รุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นได้

นายธรรศพลฐ์ กล่าวด้วยว่าระยะต่อไปไทยแอร์เอเชีย จะพยายามปรับโครงสร้างตลาดเพื่อกระจายความเสี่ยง 4 ตลาดหลักให้มีปริมาณสมดุลกันมากขึ้น ขณะนี้ตลาดจีนครองสัดส่วนสูงราว 30% ต่อไปจะเน้นเพิ่มความถี่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นทางที่มีอยู่แทนการไปเปิดจุดบินใหม่ เพราะในวันนี้ค่อนข้างครอบคลุมแล้วถึง 14 จุด หากในอนาคตตลาดจีนมีความผันผวนจากเศรษฐกิจขึ้นมา จะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

ดังนั้นจะพยายามเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอินเดียเข้ามาถ่วงดุลมากขึ้น เพราะมีศักยภาพด้านตลาดคล้ายคลึงกัน โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 15% จากปัจจุบันมีอยู่ไม่ถึง 5% และตั้งเป้าว่าเมื่อมีการขยายเต็มที่จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% เท่ากับจีนได้ 

แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่า กพท. จะสามารถเจรจาเพื่อขยายสิทธิการบินระหว่างประเทศไทยกับอินเดียเพิ่มได้หรือไม่ เพราะขณะนี้ยังบินเข้าได้แต่เมืองรอง ส่วนเมืองใหญ่ที่ควรไปทำตลาด เช่น นิวเดลี ก็ต้องการเข้าไปเช่นกัน แต่สิทธิการบินจำกัดไปแล้ว

สัดส่วนตลาดที่ต้องการในอนาคตคือ จีน, อินเดีย และอาเซียน มี 20% เท่ากัน ส่วนที่เหลือเป็นตลาดในประเทศ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะลดความสำคัญต่อตลาดจีน แต่ด้วยตลาดอื่น ที่เพิ่มเข้ามา อาจทำให้ส่วนแบ่งจีนลดลง”

นอกจากนั้นเห็นความสำคัญต่อตลาดอาเซียน ซึ่งได้วางเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมเมืองหลักไว้เกือบทั้งหมดแล้ว ล่าสุดไทยแอร์เอเชียร่วมมือกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดโครงการ “Asean Travel Journo Camp” นำสื่อมวลชน 17 คนจาก 9 ประเทศในอาเซียน มาเรียนรู้วิถีการท่องเที่ยวชุมชนและการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน ระหว่างวันที่ 18-24 ส.ค. 

โดยมีจุดหมายอยู่ที่กรุงเทพฯ และเชียงราย และ กระบี่ ซึ่งภายใต้โครงการ “Journey D” ของแอร์เอเชีย ที่นำผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาชุมชนและพนักงานเข้าไปฝังรากเรียนรู้กับชุมชนนำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ เชียงราย, กระบี่, บุรีรัมย์ และนครศรีธรรมราช