ลุ้นหุ้น '5อุตสาหกรรม' กำไรโต

ลุ้นหุ้น '5อุตสาหกรรม' กำไรโต

ลุ้น "หุ้น5อุตสาหกรรม" กำไรไตรมาส 3 โต "เกิน20%"

หลังจากภาพรวมกำไรงวดไตรมาส2ปีนี้จบลง เริ่มมีนักวิเคราะห์ประเมินผลประกอบการไตรมาส3ออกมา ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดหวังว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยท้ายปีนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมีความกังวลว่าแรงซื้อของต่างชาติที่นับวันจะมีจำนวนน้อยลงไปทุกที

บล.บัวหลวง ระบุว่าจากการรวบรวมข้อมูลมุมมองกำไรในไตรมาส 3ปีนี้ของแต่ละอุตสาหกรรม ฝ่ายวิจัยคาดกำไรโดยรวมของบริษัทภายใต้ BLS coverage จะเติบโตได้ 8%จากงวดเดียวกันปีก่อน (กำไรหลัก เพิ่มขึ้น15%จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยกลุ่มที่คาดจะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันปีก่อนมากกว่า 20% ประกอบด้วย Petrochemical (ปริมาณขายเพิ่มมากขึ้นและ Product Spreadขยายตัว), Consumer Finance (สินเชื่อเติบโตดี และ NPLs เพิ่มขึ้นในระดับต่ำ), Media (กำไรกลุ่มดิจิทัลทีวีเติบโตต่อเนื่อง), Tourism (จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น), Residential Property (ยอดโอนเพิ่มขึ้น),Industrial Estates (ยอดโอนที่ดินเพิ่มขึ้น) และ ICT (ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลง)

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่ามุมมองการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3ปีนี้จะเพิ่มขึ้น8% จากงวดเดียวกันปีก่อน และไตรมาส 4ปีนี้เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันปีก่อน จะเป็นปัจจัยหนุนตลาด อีกทั้งตอนนี้พีอีเร ของ ตลาดยังมีส่วนลดจากตลาด Asean อยู่ 8% และ S&P500 อยู่ 18%จึงยังคงยืนเป้าหมาย ดัชนี ณ สิ้นปีที่ 1,627และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)ที่ระดับ 103บาท

ขณะที่ บล.เคจีไอ คาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยมีทางลงจำกัด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีสถานะในหุ้นไทยค่อนข้างน้อย (สัดส่วน foreign ownership เหลือเพียง 31% เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาที่ 36%)

       หุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำมากตั้งแต่ต้นปี 2560 จึงมองการปรับลงจากปัจจัยภายนอกเป็นโอกาสสะสมหุ้น ทั้งนี้ในสัปดาห์นี้ จะมีปัจจัยสำคัญต้องติดตาม เช่น จีดีพีไตรมาส 2ปี2560ของไทย ในวันที่ 21 ส.ค. ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ บล.เคจีไอคาด เพิ่มขึ้น 3.4%จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วน consensus คาด เพิ่มขึ้น 3.2% ขณะที่มีการสัมมนาวิชาการประจำปีของเฟด ที่เมืองแจ็กสัน โฮล วันที่ 24 ส.ค. และ การตัดสินคดีจำนำข้าว ซึ่งมีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในวันที่ 25 ส.ค.

สอดคล้องกับ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)รายงานว่าตลาดหุ้นไทยขาดแกนนำ แต่พอมีหุ้นให้เก็งกำไรออกมาบ้างในช่วงนี้ ซึ่ง มองว่า ดัชนี จะแกว่งในตัวกรอบ 1,560- 1,575 ไปอีกสักระยะเนื่องจากหุ้น 4 กลุ่มหลักอย่าง พลังงาน, ธนาคาร, ค้าปลีก และ ICT ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตลาด ยังขาด Catalyst หากดัชนีจะปรับตัวทะลุ 1,600 มองว่ากลุ่มสถาบันในประเทศ ซื้ออย่างเดียวคงไม่พอ เนื่องจาก กลุ่มนี้ซื้อสะสมมาสูงกว่า 1.0 แสนล้านบาท ใน 10 เดือนที่ผ่านมา ฉะนั้นต้องให้นักลงทุนต่างประเทศช่วย

แต่ฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นไปได้ยาก เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยและดัชนีมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP%) และ EPS growth (%) เกือบต่ำสุดในภูมิภาค และมองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยกดดันโดยเฉพาะการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งอาจเห็นการปรับประมาณการลงอีก โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารและค้าปลีก อย่างไรก็ตามเรามองว่านักลงทุนยังสามารถเก็งกำไรรายสัปดาห์ได้ และกลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำถือเงินสด 60% โดยคงคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มก่อสร้าง, อสังหา

บล.ทิสโก้แนะนำว่า ช่วงครึ่งแรกของเดือน ส.ค.เห็นประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าของตลาดถูกปรับลงราว ลดลง0.3%ต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วที่ลดลง 0.4% ซึ่งเป็นทิศทางการปรับลง 4 เดือนติดต่อกันคาดว่าในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้านี้จะเห็นแนวโน้มตลาดเปลี่ยนแปลงประมาณการลงอีกจากผลประกอบการไตรมาส 2ที่ผ่านมา ซึ่งออกมาน้อยกว่าคาด, อุปสงค์ในประเทศ และอัตราส่วนกำไรขั้นต้นมีสัญญาณชะลอตัว รวมทั้งการปรับสมมติฐานใหม่เกี่ยวกับค่าเงินบาทและราคาน้ำมันที่มีความผันผวนมากขึ้น ด้วยแนวโน้มประมาณการกำไรของตลาดทรงกับลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ส่งผลให้กำไรปีนี้อาจโตต่ำกว่า 5% เทียบกับปัจจุบันที่คาดการณ์ว่าจะโต 6% (ลดลงต่อเนื่องจากเมี่อต้นปีที่ตลาดคาดการณ์ว่ากำไรจะโตได้เกือบ 10%)

 ฝ่ายวิจัยมอง 2 เหตุการณ์สำคัญที่น่าติดตามในช่วงครึ่งเดือนหลัง คือการประชุมประจำปีร่วมกันของธนาคารกลางสำคัญของโลก (Jackson Hole Symposium) ที่สหรัฐฯ ในระหว่างวันที่ 24-26 ส.ค. นี้ และการตัดสินคดีทางการเมืองพร้อมกัน 2 คดีในวันที่ 25 ส.ค. คือ คดีระบายข้าวจีทูจี และคดีจำนำข้าว จะมีข้อเท็จจริงและเหตุผลรองรับที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดขึ้นอยู่กับรัฐบาล คสช.ว่าจะสามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้หรือไม่ คาดว่านักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะปรับมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นไทยในระยะถัดไป