ปปง. แถลงผลงานในรอบ 1 ปี ยึดทรัพย์ 40,000 ล้านบาท ฟุ้งคดีจำนำข้าวกว่า 100 สำนวน ความเสียหาย 4 แสนล้าน ยึดทรัพย์ "เสี่ยเปี๋ยง" คดีเดียวได้เงิน 12,909 ล้าน คดีคลองด่านเสียหาย 32,555 ล้าน อายัดได้ 6,352 ล้าน
พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ปปง. ได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงินเพื่อวิเคราะห์ธุรกรรม จนนำไปสู่กระบวนการยึดและอายัดทรัพย์สิน และส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินในคดีสำคัญต่างๆ รวม 19 คดี กว่า 40,000 ล้านบาท แยกเป็น คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับเอกชนกระทำความผิด เช่น คดีจำนำข้าว มีคดีกว่า 100 คดี มูลค่าความเสียหาย 405,000 ล้านบาท ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ส่วนหนึ่งที่มาจาก 4 สัญญาการระบายข้าว (จีทูจี) ซึ่งเป็นเพียงคดีเดียวใน 100 กว่าคดี มูลค่า 12,909 ล้านบาท และได้กล่าวโทษความผิดฐานฟอกกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง กับพวกรวม 4 ราย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ, คดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน มูลค่าความเสียหาย 32,555 ล้านบาท ยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 6,352 ล้านบาท มีบริษัทเอกชนตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 8 ราย และแจ้งกล่าวโทษความผิดฐานฟอกเงินต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด, คดีทุริตอนุมัติวงเงินกู้ยืมของธนาคารกรุงไทย มูลค่าความเสียหาย 10,000 ล้านบาท ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 64 ล้านบาท และ คดีทุจริตการจัดซื้อสารเคมีผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชกรณีภัยพิบัติฉุกเฉิน มูลค่าความเสียหาย 657 ล้านบาท ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 461 ล้านบาท
เลขาธิการ ปปง. กล่าวอีกว่า ส่วนคดีที่เอกชนกระทำความผิด เช่น คดีค้ามนุษย์ (สถานบริการนาตารี) ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 724 ล้านบาท,คดีบริษัทฝูอัน ทราเวล จำกัดและบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต (คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ) ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 9,542 ล้านบาท และกล่าวโทษความผิดฐานฟอกเงินกับผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 13 ราย ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญา, คดีธรรมกาย มูลค่าความเสียหาย 20,000 ล้านบาท ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 2,344 ล้านบาท อาทิ คดีการสั่งจ่ายเช็ค 27 ฉบับให้พระธัมมชโย มูลค่า 1,585 ล้านบาท คดีถือครองที่ดินน.ส.อลิสา อัศวโภคิน จำนวน 8 แปลง มูลค่า 289 ล้านบาท และคดีการซื้อขายที่ดินระหว่างบริษัท เอ็ม – โฮม เอสพีวี 2 จำกัด กับนายอนันต์ อัศวโภคินและนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ มูลค่า 470 ล้านบา
"คดีผู้ลำเลียงยาเสพติดไปยังภาคใต้โดยใช้รถไฟ ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 196 ล้านบาท, คดีเครือข่ายไซซะนะ ปปง. บูรณาการเข้าร่วมตรวจค้นกับสำนักงาน ป.ป.ส., บช.ปส., กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 500 ล้านบาท, คดีนายเล่าต๋า แสนลี่ ปปง. บูรณาการร่วมกันกับ บช.ปส. และตำรวจภูธรภาค 5 ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 24 ล้านบาท, คดีพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ มูลค่าความเสียหาย 263 ล้านบาท ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 29 ล้านบาท, คดีการพนันออนไลน์ ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 115 ล้านบาท, คดีนายจาง ชิง ตวน ปปง. ประสานงานกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าประมาณ 1,000 ล้าน และทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 346 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายในคดีสำคัญต่างๆ รวมทั้งสิ้น 469,034 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่ ปปง. ยึดและอายัดทรัพย์และส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ในช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา รวมมูลค่าทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท" พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าว
พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จากการที่ประเทศไทยได้เข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือ AML/CFT (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism) ซึ่งเป็นการประเมินความสอดคล้องการดำเนินงานของประเทศไทยใน “ด้านกรอบกฎหมายและด้านประสิทธิผล” เทียบกับ “มาตรฐานสากลของคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force - FATF)” เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้อาชญากรแสวงหาประโยชน์จากประเทศที่มีความหย่อนยานของกฎระเบียบและมาตรการ AML/CFT โดยระหว่างวันที่ 15-21 ก.ค. 60 คณะผู้แทนไทยนำโดยสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมใหญ่ APG (Asia-Pacific Group on Money Laundering - APG) ณ กรุงโคลอมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ผลจากการประชุมสรุปว่า ประเทศไทยมีการดำเนินการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านกรอบกฎหมายในระดับมากและมากที่สุดจำนวน 26 ข้อ จาก 40 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 56.18 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการประเมินครั้งก่อนเมื่อปี 2550 ที่ได้เพียงร้อยละ 31
เลขาธิการ ปปง. กล่าวด้วยว่า สำหรับผลการประเมินด้านประสิทธิผล พบว่า ประเทศไทยมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใน 4 ด้านจาก 11 ด้านที่ไทยได้รับการประเมินว่ามีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง (substantial level) ถือว่าทัดเทียมประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และเบลเยี่ยม และมีผลการดำเนินงานในระดับสูงมากกว่าออสเตรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจในการเข้ารับการประเมินครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องเร่งแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินการให้สูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ การทุจริตรับสินบน ยาเสพติด การเลี่ยงภาษี การปั่นหุ้น การลักลอบหนีศุลกากร และกฎหมาย ทั้งนี้ ผลการประเมินที่ได้รับการรับรองจากที่ประชุมใหญ่ APG ส่งผลให้ประเทศไทยไม่ถูกกำหนดอยู่ในรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านฟอกเงิน