กลุ่มธนบุรีปั้น‘จิณณ์เวลบีอิ้ง’ต้นแบบเมืองสุขภาพวัยเกษียณ

กลุ่มธนบุรีปั้น‘จิณณ์เวลบีอิ้ง’ต้นแบบเมืองสุขภาพวัยเกษียณ

ตามโครงสร้างประชากรของไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ ในปี 2561 คาดการณ์ว่ากลุ่มนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 18% ก่อนขยับฐานสู่ 21% หรือเกือบ 1 ใน 4 ในปี 2568

“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” จึงประกาศลงทุนใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 40 ปี จัดตั้งบริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ จำกัด ดำเนินโครงการเมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ "จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้เปิดตัวด้วยเฟสแรกด้วยงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท และจะทยอยพัฒนาต่อเนื่องอีก 2 เฟส ซึ่งจะอยู่ในระยะ 5 ปี มีวงเงินรวมโครงการกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาล 2 แห่งอยู่ในอาณาจักรกว่า 140 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน ที่อยู่ในแผนการพัฒนาในอนาคต

ฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาดโครงการ กล่าวว่า หลังจากการศึกษาตลาดแบบโฟกัสกรุ๊ปกลุ่มคนอายุ 45-75 ปี ทำให้ตีโจทย์การพัฒนาเหนือกว่าบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ด้วยการควบรวมจุดแข็งธนบุรีกรุ๊ปด้านบริการสุขภาพ ทำให้มีเป้าหมายการสร้างรายได้ใน 2 ส่วนพร้อมกัน ได้แก่ ที่พักอาศัยในรูปแบบขายขาด (Free hold) และบริการบูรณาการด้านสุขภาพต่างๆ ซึ่งจะตามมาหลังจากมีการเข้าอยู่อาศัยของลูกค้าแล้ว

การรับรู้รายได้ในช่วงแรกจะมาจากการขายที่พักอาศัยก่อน โดยในเฟสแรกมี 1,380 ยูนิต และจะแบ่งขาย 2 คลัสเตอร์ก่อนประมาณ 500 ยูนิต อยู่ในรูปแบบอาคารโลว์ไรซ์ 7 ชั้น หลังจากเปิดตัวมียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 200 ยูนิต และเมื่อห้องตัวอย่างเรียบร้อย ภายในปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 40% ของเฟสแรก

แต่รายได้ที่จะต่อเนื่องระยะยาว คือ การให้บริการเชิงสุขภาพที่วางไว้ครบวงจรเหมาะกับผู้สูงอายุในทุกช่วงวัยและความต้องการ ที่จะทยอยเติบโตขึ้นต่อเนื่อง เมื่อมีผู้พักอาศัยเข้าอยู่มากขึ้น และจะเริ่มเต็มที่ในปี 2562 เป็นต้นไป สอดคล้องกับการขยายยูนิตที่พักอาศัย ซึ่งคาดว่าเมื่อครบทุกเฟสจะมีจำนวนราว 4,000 ยูนิต

หลังจากเปิดการขาย สังเกตได้จากยอดจองว่ากว่า 50% เป็นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 30% อายุ 50-60 ปี ดังนั้นภาพรวมกว่า 80% จึงถือว่าได้ลูกค้าตามเป้าหมายที่วางไว้

"อสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ อาจจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ด้วยการวางแผนธุรกิจที่ชัดเจน ทำให้ไม่กังวลกับปัจจัยดังกล่าวเลย เพราะไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง กลุ่มเป้าหมายของจิณณ์ฯ คือ คนสูงอายุที่มีเงินก้อนหรือเงินเก็บพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตและดูแลสุขภาพ ซึ่งทำให้ไม่มีปัญหาในเชิงกำลังซื้อ ต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่อาจมีภาระหนี้สินจากการเป็นวัยที่ก่อร่างสร้างตัว ขณะที่การพัฒนาเชิงโครงสร้าง ใช้ความเชี่ยวชาญจากบริษัทต่างประเทศในการสร้างยูนิเวอร์ซัล ดีไซน์ ทั้งโครงการ ไม่ใช่แค่เพียงมีให้บางส่วนเท่านั้น"

แม้ว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มการแพทย์หลายราย เริ่มปรับตัวหันมาจับตลาดที่พักอาศัยเชิงสุขภาพมากขึ้น แต่ยังมั่นใจว่า เนื่องจากตลาดของไทยยังอยู่ในช่วง "เริ่มต้น" ของการสร้างซัพพลายสนองตลาดนี้ จึงยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก

เมื่อสำรวจตลาดจากโครงการที่มีการประกาศมาแล้ว พบว่ามีการเจาะเซกเมนต์ที่ต่างกัน บางกลุ่มอาจเน้นไปที่ไฮเอนด์ แต่สำหรับโครงการจิณณ์ จะโฟกัสที่กำลังซื้อกลุ่มกลางบน หรือ บี ถึง บีบวก ขึ้นไป วางราคาขายอยู่ที่ 9 หมื่นบาท/ตร.ม. สำหรับลูกค้าคนไทยที่คาดว่าจะมีส่วนแบ่งมากที่สุด 80% และราคาเฉลี่ยราว 1.2 แสนบาท/ตร.ม. สำหรับลูกค้าต่างชาติที่คาดไว้ 20% มีกลุ่มเป้าหมายที่ ญี่ปุ่น และสแกนดิเนเวีย

นายแพทย์กรณ์ ปองจิตธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการแพทย์ โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการตอยอดความเชี่ยวชาญของกลุ่มธนบุรี โดยเลือกการพัฒนาในทำเลรังสิตก่อน เนื่องจากใกล้กับ "คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนผ่านยอดจองช่วงแรก ที่มีลูกค้าจากกรุงเทพฯ กว่า 90%

เนื่องจากเทรนด์สังคมเมืองในปัจจุบัน อยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ครองตัวเป็นโสดมากขึ้น ทำให้คนวัยเกษียณหรือใกล้เกษียณ มองหาทางเลือกด้านที่พักอาศัยที่จะไม่เป็นภาระของลูกหลาน หรือสามารถมีตัวช่วยในการดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีในช่วงท้ายของชีวิต

ทั้งกลุ่มที่ยังมีความแข็งแรง แต่ต้องการบริการดูแลในเชิง “ป้องกัน” ไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการๆ ดูแลเป็นพิเศษ ก็มีอาคารสำหร้บผู้สูงอายุ (Aged Care Center) มีห้องพักจำนวน 60 ห้อง ที่มาพร้อมบริการรายวัน (Day Care) แบบพักค้างคืน (Nuring Home) และดูแลแบบระยะยาว (Long Term Care) คลินิกแพทย์ทั่วไป ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ รวมถึงบริการให้คำปรึกษาจากนักโภชนาการและนักจิตวิทยา

“วางโครงการให้เหมาะสมกับสังคมไทย เน้นความเป็นครอบครัวทั้งหมด ครอบครัวไหนที่มีผู้สูงอายุอยู่กับบ้าน ไม่สามารถดูแลด้วยตัวเองในช่วงกลางวัน ก็จะสามารถใช้บริการเดย์แคร์ดูแลได้ และช่วงเย็นก็ยังกลับมาอยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัวได้”

พร้อมกันนี้ จะเตรียมนำโมเดลธุรกิจนี้ไปเปิดตัวในทำเลต่างจังหวัด เจาะทำเลหลักที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้หลายแห่ง เนื่องจากนายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มธนบุรี มีที่ดินสะสมอยู่หลายแปลงที่พร้อมพัฒนาอยู่แล้ว รวมถึงจุดหมายยอดนิยมสำหรับวัยเกษียณจากต่างชาติ เช่น เชียงใหม่ ด้วย โดยอาจเริ่มการพัฒนาคู่กับโปรเจคต์ใหญ่ที่รังสิต ภายใน 5 ปีต่อไปนี้

ด้าน บรรณา เลิศบรรณพงษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มปฏิบัติการโครงการ กล่าวว่า อัตราการคิดค่าส่วนกลางจะเท่ากับโครงการที่พักอาศัยทั่วไป แต่หากเมื่อมีการย้ายเข้ามาพักอาศัย จะมีค่าธรรมเนียมอีก 1,500 บาทสำหรับผู้อยู่อาศัยคนแรก และ 500 บาท สำหรับคนที่สอง เพื่อเข้าถึงบริการเชิงสุขภาพต่างๆ ที่มีการลงทุนไว้เต็มรูปแบบและอยู่ในงบประมาณสูง ซึ่งเป็นความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ

อีกไฮไลท์ของโครงการได้แก่ คลับเฮาส์ และเวลเนส เซ็นเตอร์ ที่สระธาราบำบัด, บ่อสปาบำบัด, นวดแผนไทย เพิ่มเข้ามาจากคลับเฮาส์โดยทั่วไป ส่วนบริการอื่นๆ ที่พิเศษสำหรับผู้สูงอายุ อาทิ ระบบติดตามตัว (Tracking System), หน่วยพยาบาลฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง, สัญญาณเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ทั้งภายในและรอบโครงการ, เจ้าหน้าที่พร้อมถึงจุดเกิดเหตุภายใน 5 นาที, รปภ. และกล้องซีซีทีวี 24 ชั่วโมง เป็นต้น

คริสตอฟ ไวกึล กรรมการผู้จัดการบริษัทวาเมต เฮลท์แคร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการด้านเฮลท์แคร์กว่า 800 โครงการใน 80 ประเทศ ในฐานะพันธมิตรด้านให้คำปรึกษาและเสนอแนะแผนบริการทางการแพทย์ในโครงการนี้ กล่าวว่า เชื่อว่าตลาดยังมีศักยภาพต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 50 ปี โดยเฉพาะสังคมไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว แต่มีเวลาในการเตรียมซัพพลายรองรับกลุ่มนี้เพียง 20 ปี ต่างจากยุโรปที่มีการเคลื่อนผ่านให้เตรียมการรับมือยาวนานกว่า ความนิยมในการอยู่เนิร์สซิ่งโฮมในวัยเกษียณของตลาดยุโรปมีมานานแล้ว แต่สำหรับสังคมไทย อาจจะยังนิยมการอยู่เป็นครอบครัวมากกว่า ดังนั้น เมื่อมีที่พักอาศัยที่มีบริการเชิงสุขภาพพร้อม น่าจะเป็นการตอบโจทย์ที่ยังเป็นช่องว่างตลาดที่ดี