‘เพซ’ บุ๊ครายได้อนาคต 8 พันล้าน

‘เพซ’ บุ๊ครายได้อนาคต 8 พันล้าน

"เพซ ดีเวลลอปเมนท์ " พลิกกำไรไตรมาส2 - บุ๊ครายได้อนาคต 8 พันล้าน

ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปี 2560 ซึ่งภาพรวมค่อนข้างทรงตัว มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ผลประกอบการดีขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PACE ที่พลิกกลับมามีกำไรสูงถึง 5,310.48 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 640.54 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนยังกังวลมากที่สุดสำหรับบริษัทก็คือภาระหนี้สินที่มีอยู่ในจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินสูงถึง 29,945.8 ล้านบาท

ประกอบไปด้วยเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 1,768.8 ล้านบาท,เงินกู้ระยะสั้นอื่นๆ 3,922 ล้านบาท, เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ต้องชำระภายใน 1 ปี 6,096.1 ล้านบาท และที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระใน 1 ปี 1,694.8 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังมีในส่วนของหุ้นกู้ที่ต้องชำระภายใน 1 ปี 3,614.5 ล้านบาท และยังไม่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี 2,299.7 ล้านบาท,เงินรับล่วงหน้าและเงินมัดจำจากลูกค้า 4,001.2 ล้านบาท, ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี 2,064.4 ล้านบาท และหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายรวม 19.435.9 ล้านบาท

หนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนี้เองทำให้มีกระแสข่าวออกมาโดยตลอดว่าบริษัทไม่มีเงินชำระหนี้และอาจจะผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้ ทำให้ทางผู้บริการต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น 

โดยได้ยืนยันว่าบริษัทไม่เคยมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้กับทางธนาคาร มีการจ่ายคืนหนี้ครบทุกงวด ขณะที่สถานะทางการเงินก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ทั้งหมด โดยมีสินทรัพย์กว่า 30,000 ล้านบาท มากกว่าหนี้สิน และเป็นเงินสดประมาณ 5,000 ล้านบาท

“กระแสเงินสดที่มีอยู่สามารถชำระคืนหนี้ตั๋ว B/E ที่จะครบกำหนดชำระในปีนี้ทั้งหมด 4 พันล้านบาทได้แน่นอน ที่ผ่านมาก็ได้รับวงเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ 3 พันล้านบาท ก็จะนำไปชำระคืนหนี้ตั๋ว B/E2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้รองรับการดำเนินงานอื่นๆ” นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PACE

ด้านผลประกอบการของบริษัทที่พลิกกลับมามีกำไรในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 ที่ผ่านมา ก็เป็นไปตามรายได้รวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.2% มาอยู่ที่ 2,579.1 ล้านบาท โดยการรับรู้รายได้หลักมาจากการรับรู้ยอดขายจากห้องชุดเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก โครงการมหานครจำนวน 33 เรสซิเดนซ์ มูลค่า 1,692.5 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 65.6% ของรายได้รวมทั้งบริษัท และการรับรู้รายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า 801.5 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังจากขาดทุนติดต่อกันมานานหลายปี โดยจะเริ่มมีกำไรตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป เนื่องจากจะมีการโอนโครงการมหานครเข้ามาประมาณ 7,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการมหาสมุทรจะเริ่มโอนปีนี้อีก 1,000 ล้านบาท ส่วนรายได้ก็คงจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 14,000-17,000 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 10,000-13,000 หมื่นล้านบาท และรายได้จากร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นอกจากเรื่องภาระหนี้สินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากแล้วอีกหนึ่งประเด็นหนึ่งที่ต้องตามกันต่อก็คือการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย SP และ NP หุ้น PACE เนื่องจากผู้สอบบัญชียังไม่ได้ให้ข้อสรุปต่องบการเงินของบริษัทสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2560 ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้ และจะยังคงเครื่องหมาย NP ไปจนกว่าบริษัทจะนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไขหรือจนกว่าจะได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องแก้ไขงบการเงิน ส่งผลให้หุ้น PACE ถูกพักการซื้อขายตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวานนี้

ขณะที่บริษัทได้ชี้แจงกลับไปทางตลาดหลักทรัพย์ฯถึงกรณีที่ผู้สอบบัญชี บริษัท เบเคอร์ ทิลลี่ ออดิท แอ็ดไวเซอร์รี่ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ให้ข้อสรุปต่อและแสดงความเห็นต่องบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม เนื่องจากไม่เชื่อมั่นต่อการประเมินมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด และบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด จำนวน 7,946.6 ล้านบาท ที่มีการบันทึกในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ หลังที่ปรึกษาทางการเงินได้มีการประเมินรายได้จากการเปิดให้บริการจุดชมวิวบนโครงการมหานคร

โดยทางผู้สอบบัญชีเห็นว่าโครงการดังกล่าวถือเป็นธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะที่การก่อสร้างก็ยังไม่แล้วเสร็จจึงไม่สามารถที่จะพิสูจน์รายได้ในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงในประเทศไทย จึงทำให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ข้อสรุปผลการสอบทานต่องบกำไรขาดทุนของบริษัทได้ ซึ่งหากพิจารณากันตามข้อมูลที่เกิดขึ้นอาจแสดงว่าเป็นการบันทึกรายได้เข้ามาทางบัญชีเท่านั้น แต่ยังไม่มีรายได้จริงเกิดขึ้น เนื่องจากโครงการยังก่อสร้างไม่เสร็จ