'หุ้นส่งออก-อาหาร' กำไรพุ่ง40%

'หุ้นส่งออก-อาหาร' กำไรพุ่ง40%

กำไรหุ้นส่งออกอาหารฟื้น “ไทยยูเนี่ยน” เร่งคุมต้นทุน ย้ำยังไม่กระทบกำไรและผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

หุ้นส่งออกเนื้อสัตว์แจงกำไรครึ่งปีแรกฟื้นเติบโตมากกว่า 40% “ไทยยูเนี่ยน”เร่งคุมต้นทุนหลังราคาวัตถุดิบพุ่งกดดันรายได้ ยันไม่กระทบเงินปันผลผู้ถือหุ้น เผยปีนี้ไม่เน้นซื้อกิจการ

ข้อมูลจากรายงานผลประกอบการกำไรครึ่งปีแรกของกลุ่มเกษตรและอาหาร พบว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TU มีกำไรสุทธิ 2,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.4% บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) GFPT มีกำไรสุทธิ 917.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 39.98% บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ASIAN มีกำไรสุทธิ 200.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 898%

นายบัลลังก์ ไวยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะใช้กลยุทธ์การรักษาต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาวัตถุดิบโดยเฉพาะราคาปลาทูน่าปรับตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 30% ทั้งนี้แม้บริษัทจะมีปัญหาในด้านต้นทุนที่สูง แต่จะรักษาระดับการทำกำไรและปันผลไม่ให้ได้รับผลกระทบ

“ราคาวัตถุดิบโดยเฉพาะปลาทูน่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสิ้นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 1,950 ดอลลาร์ต่อตัน ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 30% ซึ่งส่งผลกับต้นทุนของบริษัทค่อนข้างมาก ซึ่งทิศทางของราคาทูน่าหลังจากนี้บริษัทยังไม่พบถึงปัจจัยที่จะทำให้ราคาทูน่าปรับตัวลงได้อย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันสั้น”

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับราคาขายของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบแล้ว ยังมีการปรับต้นทุนด้านต่างๆ ให้ลดลง อย่างต่อเนื่องการควบคุมต้นทุน บริษัทได้ทำมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และอยู่ระหว่างการหาแนวทางการปรับปรุงกระบวนการผลิต และการบริหารงาน เพิ่มเติมช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ ยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 15-16% เนื่องราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ครึ่งปีแรกกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14% เท่านั้น

สำหรับเป้าหมายยอดขายของบริษัทในปีนี้ ในเบื้องบริษัทยังคงเป้าหมายที่ 1.45 แสนล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 5% แม้ในครึ่งปีแรกบริษัทจะมียอดขาย 6.62 แสนล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1% ก็ตาม บริษัทคาดหวังยอดขายจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ ส่วนกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกที่ 2,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2,758 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.4% บริษัทจะขอยืนยันจะรักษาระดับการปันผลในระดับที่สูงต่อไป แม้ว่าผลประกอบการจะเผชิญความยากลำบากมากขึ้น

ด้านการลงทุนนั้น บริษัทตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้ลงทุนไปแล้ว 1,885 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนปกติในด้านการขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงเครื่องจักร ส่วนการเข้าซื้อกิจการ อาจจะไม่ได้อยู่ในเป้าหมายหลักของบริษัทในปีนี้ โดยแผนในปีนี้ บริษัทจะเน้นการเชื่อมโยงธุรกิจที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บล.ฟิลิป (ประเทศไทย) ระบุว่าผู้บริหารชี้แจงว่านับจากนี้การเข้าซื้อกิจการจะไม่ใช่ประเด็นหลักในการผลักดันการเติบโตของการดำเนินงาน แต่จะหันมาควบคุมองค์กรให้มีประสิทธิภาพขึ้นทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายทุกๆ ด้าน, ช่องทางการขายใหม่ๆ เช่น การขายผ่านออนไลน์ และการขายสินค้าที่ให้มาร์จินสูงขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่น ราคาวัตถุดิบ, ค่าเงิน และการแข่งขันในตลาด 

ส่วนราคาวัตถุดิบที่สูงยังกดดันมาร์จินครึ่งปีหลัง แม้การดำเนินงานครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากช่วงฤดูกาล และการปรับราคาขายขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น แต่จากแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่ยังทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับการแข่งขันที่มากคาดว่า ยังเป็นปัจจัยกดดัน ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานปี 2560 ลงจากเดิม โดยปรับยอดขายเป็น 3,955 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและปรับลด มาร์จินลงจากเดิมจากราคาวัตถุดิบที่สูงและค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ได้ปรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลงจากเดิมจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้น และคาดรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบ.ร่วมเพิ่มขึ้นทั้งจากการดำเนินงานในอินเดียที่ดีขึ้น และการรับรู้การดำเนินงานของ Red Lobster เข้ามา ปรับกำไรสุทธิลงเหลือ 5,474 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน