MGT - ซื้อเก็งกำไร

MGT - ซื้อเก็งกำไร

ปรับลดประมาณการปี 60 จากยอดขาย 1H60 โตเพียง 3% แต่มี upside จาก M&A

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

- รายงานกำไร 2Q60 อยู่ที่ 10 ล้านบาท เติบโต 44%YoY แต่ลดลง 14%QoQ : โดยรายได้จากการขายอยู่ที่ 138 ล้านบาททรงตัวเมือเทียบเป็นรายปีแต่ลดลง 11%QoQ เนื่องจากปีนี้เข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่เดือนพ.ค.ทำให้การจำหน่ายเคมีภัณฑ์กลุ่มสีชะลอตัวลง นอกจากนี้ใน 2Q60 มีวันทำการน้อยกว่าไตรมาสอื่นๆ จึงทำให้การจำหน่ายสินค้าลดลง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 27.2% ใน 1Q60 สู่ระดับ 28.5% ใน 2Q60 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า 0.4 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวลง 3 ล้านบาทเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

- บริษัทเน้นบริการแบบ one stop service ในการจำหน่ายเคมีภัณฑ์ Additive : บริษัทใช้กลยุทธ์ one stop service ในการจำหน่ายเคมีภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า โดยบริษัทจะติดต่อกับผู้จำหน่ายเคมีภัณฑ์หลากหลายชนิดเพื่อให้บริษัทมีเคมีภัณฑ์ Additive ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้บริษัทเตรียมเปิดสาขา 2 แห่งที่จ.สงขลา และจ.นครพนมในไตรมาส 3 และในปี 61 มีแผนเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่มอีก 2 แห่งที่ประเทศพม่าและกัมพูชาเพื่อให้มีสาขาครอบคลุมในอาเซียนรวม 8 ประเทศ(เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงค์โปร์ พม่า กัมพูชา) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการติดต่อและสั่งซื้อเคมีภัณฑ์ ในปัจจุบันบริษัทมีแผนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจที่เกี่ยวกับเคมีภัณฑ์เพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต (ณ 30/6/60 บริษัมีเงินสดในมือ 65 ล้านบาท)

- ปรับประมาณการกำไรปี 60 และ 61 ลงสู่ 45 ล้านบาทและ 57 ล้านบาทตามลำดับ : กำไร 1H60 คิดเป็นเพียง 40% ของประมาณการเดิมที่ 52 ล้านบาท อีกทั้งรายได้ 1H60 เติบโตเพียง 3%YoY ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานการเติบโตของรายได้ทั้งปีที่ 17% เราจึงปรับลดการเติบโตของรายได้ลงสู่ 7% มาอยู่ที่ 595 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีกว่าคาด ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรปี 60 และ 61 ลงเพียง 13% และ 10% ตามลำดับสู่ 45 ล้านบาทและ 57 ล้านบาทคิดเป็นการเติบโต 40% และ 27% ตามลำดับ ทั้งนี้เราคาดว่าผลประกอบการใน 2H60 จะดีกว่า 1H60 เนื่องจากเป็น high season โดยเรายังไม่ได้รวมการทำธุรกรรม M&A ไว้ในประมาณการซึ่งจะเป็น upside ในอนาคต

- ปรับคำแนะนำเหลือ “ซื้อเก็งกำไร” และปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 61 ที่ 3.50 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วยวิธี PEG Ratio พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 61 โดยประเมินกำไรต่อหุ้นที่ 0.14 และมีอัตราการเติบโตของกำไรปี 61 ที่ 25% ได้ราคาเหมาะสมปี 61 ที่ 3.50 บาทเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.47 บาท(ยังไม่รวม upside จาก M&A ในประมาณการ) โดยราคาปิดล่าสุดใกล้เคียงกับราคาเหมาะสมจึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เหลือ “ซื้อเก็งกำไร”

ปัจจัยเสี่ยง

1) อุตสาหกรรมรถยนต์และสีชะลอตัวกว่าที่ประเมินไว้

2) การขยายสาขาล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้