กลต.สั่ง 'ไพร้ซ' สอบหนี้เอิร์ธ

กลต.สั่ง 'ไพร้ซ' สอบหนี้เอิร์ธ

"กลต." สั่งไพร้ซสอบหนี้เอิร์ธ สมาคมนักวิเคราะห์มั่นใจทางการคุมสถานการณ์ได้ โบรกเกอร์ชี้ปัญหาบจ.หนี้ท่วมเริ่มน่ากังวลแต่ยังไม่วิกฤติ

ก.ล.ต.สั่งไพร้ซเป็นผู้ตรวจสอบพิเศษ ความมีอยู่จริงของมูลหนี้ “เอิร์ธ”2.6 หมื่นล้าน ยันไม่ซ้ำซ้อนเพราะเป็นผู้สอบบัญชีอยู่แล้ว ด้านสมาคมนักวิเคราะห์เชื่อฝ่ายกำกับสามารถจัดการกับบริษัทให้ตอบคำถามทั้งหมดได้ ส่วนโบรกเกอร์แนะจับตาบจ.หนี้สูงใกล้ชิดหลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กับตลาดหลักทรัพย์ ได้สั่งให้ บริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) EARTHแต่งตั้งผู้สอบบัญชีกรณีพิเศษ โดยจะต้องเป็นบริษัทรายใหญ่เท่านั้น เพื่อให้ตรวจสอบความมีอยู่จริงของหนี้สิน มูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการสั่งการรอบ2 โดยก่อนหน้านั้นได้สั่งให้แต่งตั้งแล้วแต่ไม่มีผู้สอบบัญชีรับเป็นผู้สอบ

แหล่งข่าวโบรกเกอร์ กล่าวว่าขณะนี้ก.ล.ต.ได้สั่งให้บริษัทไพร้ซ วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PWC) เป็นผู้ตรวจสอบพิเศษให้กับบริษัทเอิร์ธ เนื่องจากเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถยื่นเอกสารและผลการตรวจสอบได้ทันตามที่ก.ล.ต.กำหนด คือการส่งเอกสารในส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นมา 2.6 หมื่นล้านบาทภายใน 5 วันทำการและในส่วนผลการตรวจสอบพิเศษจะต้องส่งภายใน 30 วันทำการ 

นายปริย เตชะมวลไววิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเลขาธิการและสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่าการที่ก.ล.ต.สั่งให้ บริษัทเอิร์ธ แต่งตั้งผู้สอบบัญชีที่สังกัดสำนักงานสอบบัญชีขนาดใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง (big 4) เป็นผู้จัดทำ special audit ซึ่งบริษัท PWC ก็เป็นผู้สอบบัญชีของเอิร์ธอยู่แล้ว ดังนั้นบริษัท PWC ก็สามารถทำ special audit เรื่องที่มาของมูลหนี้ 26,000 ล้านได้เช่นกัน

นอกจากนี้ กรณีของบริษัทโพลาริส แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) POLAR หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักทรัพย์นั้น ตามที่สำนักงานก.ล.ต.ได้แจ้งไปแล้วเมื่อ7ส.ค.ที่ผ่านมา และหากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า ประเด็นของ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ นั้น หลังจากนี้มองว่า สำนักงานก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะจะต้องดำเนินการให้บริษัทเอิร์ธ สามารถตอบคำถามและทำตามที่ก.ล.ต.ได้สั่งการให้บริษัททำตามกำหนด โดยมองว่าการดำเนินการของสำนักงานก.ล.ต.ช่วงที่ผ่านมา ถือว่ารวดเร็วและดำเนินการได้อย่างทันสถานการณ์ 

นาย กวี  ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยเป็นสิ่งที่ต้องจับตามากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะระยะหลังจะพบว่า มีหลายบริษัทที่มีปัญหาเรื่องภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น และไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนมาก่อน ทั้งการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น(บีอี)จนกระทั่งลุกลามส่งผลให้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาบริษัทจดทะเบียนที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ประเมินว่า ยังไม่ใช่สัญญาณของวิกฤติในอนาคต โดยสังเกตได้จาก 2 ปัจจัย คือ อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ และอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในภาพรวม ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นจนน่าวิตก