"ศานิตย์" เร่งคลี่คลาย กรณีพ่อโจ๋ชิงสร้อยทองสงสัยลูกชายถูกจับโยนยูเทิร์น ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ที่ สน.บางมด พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัยพร พานิชอัตรา รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 เดินทางมาพบ นายสุริยา สุขเพีย อายุ 45 ปี พ่อของ นายบริสุทธิ์ หรือเอฟ สุขเพีย อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาซึ่งเสียชีวิตหลังขับขี่รถ จยย.พา นายวีรพงษ์ เนธิบุตร อายุ 20 ปี เพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลบหนีการไล่ติดตามของพลเมืองดีจนเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนขอบสะพานกลับรถถนนพระราม 2 ร่างตกลงมาเอง โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ ได้ให้ นายสุริยา พ่อของผู้ตายรับเอาโทรศัพท์มือถือและสร้อยคอทองคำกับพระเลี่ยมทอง จำนวน 3 องค์ของลูกชายที่พนักงานสอบสวน สน.บางมด เก็บรักษาไว้ให้ขณะนำร่างส่งรักษาอาการที่ รพ.บางมด คืนกลับไป
จากการสอบถาม นายสุริยา กล่าวว่า ตนยังสงสัยในมูลเหตุการตายของลูกชายอยู่หลายประการ อาทิ เมื่อ นายอภิชาติ แซ่อุ้น อายุ 57 ปี พลเมืองดีให้ข่าวว่า ระหว่างไล่ติดตามลูกชายนั้นมีตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งขับขี่ รถ จยย.ไล่ตามมาด้วย แล้วขณะนี้ตำรวจท่านดังกล่าวหายไปไหน นอกจากนั้นอาจเป็นไปได้หรือไม่ที่ นายบริสุทธิ์ ลูกชาย กับ นายวีรพงษ์ ผู้ได้รับบาดเจ็บ จะถูกควบคุมตัวและจับโยนลงมาจากสะพาน อีกทั้งอยากสอบถามว่าเหตุใด นายอภิชาติ ที่บอกว่าตัวเองเป็นพลเมืองดีจึงต้องขับขี่ รถ จยย.ไล่ติดตามล่าลูกชายแบบกระชั้นชิดขนาดนั้น ทั้งที่สามารถจดจำรูปพรรณกับทะเบียน รถ จยย.ไปแจ้งเหตุกับตำรวจได้ โดยถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุจริงตนสงสัยว่าลูกชายคงเสียหลักเพราะความตกใจที่ นายอภิชาติ กับตำรวจนอกเครื่องแบบนายนั้นขับขี่ รถ จยย.ไล่บี้ติดตาม
จากนั้น พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงได้เชิญทุกฝ่ายทั้งผู้เสียหาย พลเมืองดี และพ่อผู้ตาย ขึ้นไปที่ห้องประชุมชั้น 3 ของ สน.บางมด เพื่อรับชมภาพจากกล้องวงจรปิดที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางมด และ สน.ตลาดพลู ช่วยกันนำมาเป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดี โดยเห็นได้ชัดเจนว่า หลังก่อเหตุ นายอภิชาติ พลเมืองได้ขับขี่รถ จยย.ติดตามรถผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มาจริงๆ ตั้งแต่ต้น แต่ติดตามแบบค่อนข้างห่างเพราะเกรงว่าตัวเองจะถูกทำร้ายเช่นเดียวกัน กระทั่งระหว่างทางไปพบกับ ด.ต.เอกปพน ภากรเพิ่มทวี ผบ.หมู่งานจราจร สน.บางมด ซึ่งแต่งกายนอกเครื่องแบบ ขับรถ จยย.ของทางราชการ ออกมาธุระพอดี จากนั้นเมื่อ นายอภิชาติ แจ้งกับ ด.ต.เอกปพน ว่ากำลังติดตามผู้ต้องหาคดีพยายามวิ่งราวทรัพย์ ทั้งคู่จึงช่วยกันขับรถติดตามผู้ต้องหา มาจนถึงกล้องตัวสุดท้ายที่สามารถหาได้บริเวณหน้าโรงแรมมดอินน์ ถนนพระราม 2 ขาออกซึ่งอยู่ห่างจากจุดกลับรถที่เกิดเหตุประมาณ 300 เมตร
ขณะที่ ด.ต.เอกปพน ได้ให้การกับผู้บังคับบัญชา ว่า วันที่เกิดเหตุขับขี่รถ จยย.ออกจากบ้านไปซื้อดอกไม้ไหว้พระที่ตลาดจอมทอง พบ นายอภิชาติ แจ้งให้ช่วยติดตามคนร้ายบริเวณแยกดาวคะนองตัดถนนจอมทอง จึงขับรถติดตามไปด้วยกันแต่ก็เร่งเครื่องไม่ทันรถของผู้ต้องหา กระทั่งถึงช่วงขึ้นสะพานกลับรถ รถของผู้ต้องหาก็เสียหลักกระแทกกับขอบปูนกั้นทางตกลงไปเอง ตอนนั้นจึงหยุดรถและบอกให้ นายอภิชาติ ช่วยรักษาสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ เพราะตัวเองไม่ได้เข้าเวร ไม่มีทั้งวิทยุสื่อสารและโทรศัพท์มือถือติดตัวออกมาจากที่พัก จากนั้นจึงขับขี่รถลงจากสะพาน แล้วมุ่งหน้าไปแจ้งเหตุที่ศูนย์วิทยุสุขสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ห่างจุดเกิดเหตุไปประมาณ 1 กิโลเมตร
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า ขณะนี้จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายเบื้องต้นทราบแล้วว่าจุดเกิดเหตุที่ดึงสร้อยกันอยู่ในพื้นที่ สน.บางขุนเทียน จึงสั่งการให้พนักงานสอบสวนพิสูจน์ให้ชัดเจนเพื่อให้ญาติๆ ของฝ่ายผู้ต้องหารวมถึงทุกภาคส่วนคลายข้อสงสัย โดยตนขอยืนยันหากมีการทำร้ายกันก่อนที่ผู้ต้องหาจะตกลงจากสะพานกลับรถ จะต้องมีการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างแน่นอน สำหรับสะพานกลับรถดังกล่าวตรวจสอบแล้วตั้งแต่ปี 2539 เคยมีผู้ขับขี่ รถ จยย.ขับรถเฉี่ยวชนขอบทางกั้นจนร่างตกลงมาบนพื้นถนน จำนวน 3 คดี มีผู้เสียชีวิต 2 คดี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 คดี โดยหลังจากนี้ตนจะสั่งการให้พนักงานสอบสวนนำทองรูปพรรณของผู้เสียหายไปตรวจดีเอ็นเอ รวมถึงนำรถ จยย.ของผู้ต้องหาที่มีรอยบิดเบี้ยวบริเวณพักเท้าข้างซ้าย กับรอยครูดถลอกบริเวณแฮนด์ด้านซ้ายไปวัดกับขอบปูนบนสะพานกลับรถตรงจุดเกิดเหตุด้วย ว่าตรงกันหรือไม่เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป