JASIF - ซื้อ

JASIF - ซื้อ

อัพไซต์จากการโอนสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้น

กำไรหลักเป็นไปตามคาด

JASIF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/60 ที่ 944 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหน่วยที่ 0.17 บาท ลดลง 26% YoY และ 72% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษได้แก่ ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่จำนวน 418 ล้านบาท กำไรหลัก (เงินที่เหลือสำหรับการจ่ายเงินปันผล) อยู่ที่ 1.36 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% YoY และทรงตัว QoQ กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด 31% เนื่องจากรายการขาดทุนจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ดังที่ได้กล่าวข้างต้น ในส่วนของกำไรหลักถือว่าเป็นไปตามคาด

ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กองทุนฯ ได้ทำการจ้างที่ปรึกษาอิสระให้เข้ามาประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนใหม่ซึ่งประกอบไปด้วยสายใยแก้วนำแสงจำนวน 9.8 แสนคอร์กม. โดยที่ปรึกษาได้ทำการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และได้ราคาใหม่ที่ 57,578 ล้านบาท กองทุนฯ ได้ทำการรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการตีราคาสินทรัพย์ใหม่ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสดและไม่ส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันให้กับผู้ถือหน่วยแต่อย่างใด มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยอยู่ที่ 10.62 บาท ณ สิ้นไตรมาส 2/60 กองทุนยังคงไม่ได้ประกาศเงินปันผลต่อหน่วย แต่เราคาดว่ามีแนวโน้มอยู่ที่ 0.24 บาทต่อหน่วยสำหรับงวดไตรมาส 2/60 ภายใต้สมมติฐานของอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 96% ส่งผลให้คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2% สำหรับไตรมาสนี้

ประเด็นสำคัญของผลประกอบการ

รายได้ค่าเช่าของกองทุนฯ อยู่ที่ 1.44 พันล้านบาทในไตรมาส 2/60 เพิ่มขึ้น 7.6% YoY และทรงตัว QoQ เนื่องจากสายใยแก้วนำแสงที่โอนเข้ากองทุนฯ ภายใต้สัญญาถือว่าครบจำนวน 9.8 แสนคอร์กม. แล้วตั้งแต่ ณ สิ้นปี 2559 และไม่มีการโอนสายใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตราค่าเช่าปรับขึ้นตามดัชนีราคาผู้บริโภคใน
ปี 2559 ซึ่งประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์ที่ 0.19% รายได้ค่าเช่าสุทธิอยู่ที่ 1.38 พันล้านบาทหลังจากหักค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ซึ่งได้แก่ ค่าซ่อมบำรุงรักษาสายใยแก้วนำแสง 52 ล้านบาท ค่าสิทธิพาดสาย 9 ล้านบาท และค่าประกันภัย 2 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 95.7% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับไตรมาส 1/60

แนวโน้ม

เราจะทำการคำนวณการโอนสายใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมเข้ากองทุนฯ ไปในประมาณการของเราและการประเมินมูลค่าราคาเป้าหมายของกองทุนฯ ทันทีที่รายละเอียดซึ่งได้แก่ จำนวนสายใยแก้วนำแสงที่จะโอนเข้ากองทุนฯ ขนาดของการระดมทุนเพิ่มเติม (รวมถึงสัดส่วนของการเพิ่มทุนใหม่ผ่านการเสนอขายผู้ถือหน่วยเดิมและการใช้เงินกู้เพิ่มเติม) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4/60 หรือภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 สายใยแก้วนำแสงใหม่ที่จะโอนเข้ากองทุนฯ ในอนาคตจะสร้างมูลค่าเพิ่มสุทธิให้กับผู้ถือหน่วยกองทุนฯ ในรูปของเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นแก่ผู้ถือหน่วย เนื่องจากกำไรที่จะเพิ่มขึ้นจากสินทรัพย์ใหม่ที่โอนเข้ากองทุนฯ มีแนวโน้มที่จะกลบผลกระทบของจำนวนหุ้นใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มทุน หรือการออกเงินกู้ใหม่ ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา TTTBB ได้ตกลงที่จะขยายอายุของสัญญาเช่าที่สองออกไปอีก 3 ปีกับกองทุนฯ (ซึ่งสัญญาจะครบกำหนดในวันที่ 11 ก.พ. 2561) ภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงเช่นเดียวกับสัญญาสามปีแรก เราประเมินว่าเป็นผลบวกต่อ JASIF เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงของการเจรจาอัตราค่าเช่าใหม่

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ลงอีก 6% (เหลือ 7.13 พันล้านบาท) โดยคำนวณผลขาดทุนทางบัญชีจำนวน 418 ล้านบาทข้างต้นจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ แต่ยังคงประมาณการกำไรหลักปี 2560 ไว้เท่าเดิมที่ 5.43 พันล้านบาท ดังนั้นเงินปันผลสำหรับปี 2560 ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

คำแนะนำ

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลซึ่งไม่ต้องเสียภาษีที่สูงถึง 8.4% สำหรับปี 2560 ซึ่งถือว่าสูงสุดเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และน่าสนใจมากถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยของทั้งตลาดซึ่งอยู่ที่ 3.1% ในปี 2560 และอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งอยู่เพียงแค่ 2.3%