'ซีพีเอฟ' จ่อลดทุน เล็งตัดหุ้นอาร์โอส่วนที่เหลือ

ช่วงที่ผ่านมา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,548,588,386 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 7,742,941,932 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 9,291,530,318 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1,548,588,386 หุ้นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (RightsOffering) โดยกำหนดสัดส่วนการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนในอัตรา 5 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 25.00 บาท

ล่าสุดบริษัทได้รายงานผลการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ พบว่า สามารถขายได้เพียง 56%ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายที่ 1,548,588,386 หุ้น หรือ จำนวน 868,300,453 หุ้น ดังนั้นจะมีจำนวน หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรประมาณ 46% หรือ680,287,933 หุ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 21,707 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับหลักทรัพย์หุ้นเพิ่มทุน จำนวน 868,300,453 หุ้น ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เข้าซื้อขายในวันที่ 9 ส.ค.2560 ส่งผลให้มีทุนใหม่จำนวน 8,611,242,385 หุ้น จากเดิมที่มี 7,742,941,932 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นทุนใหม่ 8,611,242,385 บาท จากเดิมที่ 7,742,941,932 บาท

จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์พบว่า ในส่วนหุ้นที่เหลือนั้น คาดว่าบริษัทจะทำการตัดหุ้นโดยการลดทุนจดทะเบียนออกไป ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะไม่กระทบต่ออัตรากำไรสุทธิและผลกระทบของผู้ถือหุ้นในส่วนของการเพิ่มทุนลดลง

บล.ธนชาต ระบุว่า การที่ซีพีเอฟรายงานขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมได้ 868.3 ล้านหุ้น จากที่เสนอขายทั้งหมด 1,548.6 ล้านหุ้น (เหลือ 680 ล้านหุ้น) ซึ่งบริษัทจะไม่มีการนำหุ้นที่ขายไม่หมดมาออกและเสนอขายอีก และจะทำการลดทุนในส่วนที่ขายไม่หมดออกไป

นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ซีพีเอฟ เป็นหุ้นอาหารส่งออก น่าจะได้รับการปรับลดสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนข้างต้นสุทธิราว 4.9% (ผลกระทบด้านลบต่อยอดขาย แต่บวกจากผลกระทบจากหนี้สินต่างประเทศ) ขณะที่ผลกระทบจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด (อัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ราคาหุ้นเละ 25บาท) สามารถขายได้บางส่วน คือเพียง 868 ล้านหุ้น หรือ 56% ของแผนการเพิ่มทุน ทำให้ผลกระทบจาก dilution effect อาจจะไม่มากอย่างที่คาดไว้แต่เดิม

โดยเมื่อรวมผลกระทบ 2 ปัจจัย ทำให้นักวิเคราะห์ ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-61 ลงจากเดิมเฉลี่ย 4.4% ต่อปี โดยทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คำนึงถึงผลกระทบเพิ่มทุนหมดที่หุ้น 1.88 บาท เป็น 1.95 บาท (ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2559 อยู่ที่1.99 บาท) และปี 2561 จากเดิม 2.25 บาท เป็น 2.33 บาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.55%

สำหรับมูลค่าหุ้นตามบัญชีใหม่ปี 2560 ของซีพีเอฟ จะลดลงเล็กน้อยซึ่งอิงจาก PBV 1.5 เท่าเพราะมูลค่าตามบัญชี (BV) ลดลงเมื่อไม่สามารถระดมทุนทั้งหมด (ทำให้แผนการนำเงินไปชำระหนี้บรรลุเป้าหมายบางส่วน และ ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนยังมากกว่าที่เคยคาดไว้เดิม) แต่อย่างไรก็ตามถือว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนข่าวลบไปทั้งหมด ขณะที่แนวโน้มผลกำไรในงวดไตรมาส 3ปีนี้ น่าจะเป็นจุดสูงสุด นอกจากผลของฤดูกาลแล้ว ราคาหมูในเวียดนามได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในช่วงไตรมาส2ปีนี้

ขณะที่บล.เคทีบี(ประเทศไทย)ประเมินว่าซีพีเอฟเพิ่มทุนได้ไม่หมด ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบ เนื่องจาก บริษัทอาจจะต้องระดมทุนผ่านทางเงินกู้ ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้นอีก 200-300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เรายังติดตามปัจจัยอื่นด้วย เช่น รายละเอียดการลดทุน หากมีการลดทุน อาจจะทำให้กำไรต่อหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงมาก ตลอดจนความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของธุรกิจสุกรในเวียดนาม อยู่ระหว่างรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้บริหาร และจะสรุปอีกครั้งหนึ่ง

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย)เชื่อว่า หุ้นเพิ่มทุนที่เหลือน่าจะถูกยกเลิก ได้เงินเพิ่มทุนรอบนี้ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับงบไตรมาส 2ปีนี้ คาดกำไรหลักจะอ่อนแอ เพราะราคาหมูในประเทศอยู่ที่ 65 บาทต่อกก.ลดลง13%จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วนราคาหมูเวียดนามยังต่ำมากที่ 33 บาทต่อกก.ขณะที่ต้นทุน 55 บาทต่อกก.จึงขาดทุนต่อ ไก่ในประเทศทำกำไรได้ดี กุ้งผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อผลการขายหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยการลดทอนจากจำนวนหุ้น (Dilution effect) จะอยู่ที่เพียง 10.1% เทียบกับ 16.6% หากหุ้นที่จัดสรรทั้งหมดขายได้ ขณะที่เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นนั้นก็นับว่าใกล้เคียงกับแผนการนำเงินไปชำระหนี้จำนวน 2หมื่นล้านบาท ตามกำหนดชำระหนี้ที่จะมีภายในปี2561ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวจะช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ลงสู่ราว 1.6 เท่า จาก 1.8 เท่า