'EARTH' ฟ้อง 'ธนชาต' 60,000 ล้านบาท

'EARTH' ฟ้อง 'ธนชาต' 60,000 ล้านบาท

"EARTH" ยื่นฟ้อง "ธนาคารธนชาต" 60,000 ล้านบาท ฐานนำข้อมูลบริษัทเปิดเผยต่อบุคคลอื่นทำให้ถูกอายัดเงินในบัญชี ยืนยันไม่ได้ล้มบนฟูก

นายขจรพงศ์ คำดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH) เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดี ข้อหาละเมิดต่อ บมจ.ธนาคารธนชาต เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 60,000 ล้านบาท โดยศาลแพ่งได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีดำ เลขที่ พ.1552/2560 สืบเนื่องมาจาก บมจ.ธนาคารธนชาต ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินของบริษัทไปเปิดเผยกับธนาคารกรุงไทย จนเป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขออายัดเงินของบริษัทที่อยู่ในบัญชีเงินฝาก ซึ่งเป็นเงินที่บริษัทเตรียมที่จะโอนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้สำหรับดำเนินธุรกิจซื้อขายถ่านหินให้กับคู่ค้าในจีนและขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วเช่นกัน การกระทำของ บมจ.ธนาคารธนชาต เข้าข่ายความผิดพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.๒๕๕๑ โดยถูกระบุไว้ในคำฟ้องของธนาคารกรุงไทย ตามคดีดำเลขที กค.129/2560 และ กค.131/2560

"ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินคือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การกระทำของบมจ.ธนาคารธนชาตครั้งนี้เรียกได้ว่าไม่มีจรรยาบรรณ เพราะไม่ยอมเก็บรักษาความลับของลูกค้า จนนำไปสู่การถูกสั่งอายัดเงินฝาก บริษัทรู้สึกผิดหวังและเสียความรู้สึกต่อการกระทำอย่างที่สุด เพราะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นความหวังที่เหลืออยู่ในการที่จะฟื้นกิจการและธุรกิจให้กลับมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ มีศักยภาพในการทำกำไรและชำระหนี้ในอนาคตได้" นายขจรพงศ์กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีคำสั่งอายัดในบัญชีเท่ากับเป็นการตัดเส้นทางทำมาหากิน เพราะทำให้บริษัทไม่มีเงินมาใช้จ่ายหรือทำธุรกรรมใดได้เลย แม้แต่การจ่ายเงินเดือนของพนักงาน สิ้นสุดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการจ่ายเงินให้กับพนักงานเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่พนักงานในระดับบริหารขึ้นไปทุกคนยังไม่ได้รับเงินเดือน นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทมีสิทธิ์ที่จะถูกดำเนินคดีอาญา เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการเซ็นเช็คไปแล้ว โดยจ่ายให้กับกรมสรรพากร จ่ายค่าระวางเรือ เป็นต้น ซึ่งเช็คที่จ่ายออกไปเด้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา ดังนั้นจึงถือว่าบริษัทเดินมาถึงทางตันแล้วจริงๆ ไม่สามารถดำเนินธุรกรรมใดได้เลย จึงอยากจะเรียกร้องของความเป็นธรรมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้เห็นแก่พนักงานบริษัทที่มีจำนวนกว่า 100 คน และผู้ถือหุ้นที่มีกว่า 18,000 ราย เพราะหากธุรกิจไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความเสียหายอย่างร้ายแรงกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หากว่าผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้รายใดอยากจะฟ้องร่วมบริษัทก็พร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานและดำเนินการให้

สำหรับประเด็นที่ว่าผู้บริหารของบริษัทล้มบนฟูกนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีผู้บริหารบริษัทรายใดล้มบนฟูกเลย แต่สาเหตุที่ทำให้เดินมาถึงทางตันในวันนี้เพราะเกิดจากปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากถูกระงับวงเงินแบบทันทีทันใด ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้และสุดท้ายอันดับเครดิตเรทติ้งก็ร่วงลงสู่ระดับ D ทันทีทำให้บริษัทไม่มีช่องทางในการหาเงินเพื่อมาชำระหนี้ที่เหลือ ทั้งนี้ขอยืนยันว่า บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ไม่ได้ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ โดยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาจากสถาบันการเงินนำไปลงทุนทำธุรกิจถ่านหินอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เคยเอาไปใช้เพื่อการลงทุนในรูปแบบอื่นใดเลย

ส่วนประเด็นการขอมาร์จิ้นเพื่อนำมาซื้อหุ้น EARTH นั้น มีเป้าหมายเพื่อจะดำรงสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเอาไว้ เพื่อให้การบริหารกิจการเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ โดยที่ผ่านมาสามารถที่จะไปค้นข้อมูลย้อนหลังได้เลยว่าผู้บริหารของ EARTH ไม่มีพฤติกรรมการเล่นหุ้นแบบเทรดดิ้งหรือเก็งกำไรเลย แต่เนื่องจากราคาหุ้นที่รูดลงอย่างรุนแรงในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และปรากฎรายชื่อผู้บริหารโดนฟอร์ซเซล ส่งผลให้ทุกคนที่มีรายชื่อเหล่านั้นต้องตกเป็นลูกหนี้ของโบรกเกอร์คิดเป็นมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอผ่อนชำระหนี้ และที่สำคัญผู้บริหาร EARTH ได้เสียสละนำหุ้นส่วนตัวไปเป็นหลักประกันให้แก่บริษัทและค้ำประกันส่วนตัวเต็มวงเงินให้กับสถาบันการเงิน เมื่อหุ้นราคาตก ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องจัดหาหุ้นมาเพิ่มเติมให้กับสถาบันการเงิน จึงไม่มีเหตุผลที่จะล้มบนฟูก