หุ้นใหญ่ 'ปูนกลาง' อู้ฟู่

หุ้นใหญ่ 'ปูนกลาง' อู้ฟู่

"หุ้นใหญ่" ปูนกลางอู้ฟู่ สวนทางกำไรไตรมาส2วูบ

วานนี้(3ส.ค.)บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) SCCC หรือปูนกลาง รายงานผลประกอบการ งวดไตรมาส 2ปี2560 มีกำไร 245.73 ล้านบาท หรือ 0.92 บาทต่อหุ้น ลดลง 79.84% จากงวดเดียวกันปี 2559 จากค่าใช้จ่ายการปรับโครงสร้างภายใน ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวโดย ยังจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 6 บาท ขึ้นเครื่องหมายไม่ได้สิทธิ์รับเงินปันผล( XD) วันที่ 17 ส.ค. นี้ ทั้งนี้ งวด 6 เดือนปี 2560 มีกำไร 795.66 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2559 ที่มีกำไร 2,581.28 ล้านบาท หรือ 10.85 บาทต่อหุ้น

ศิวะ มหาสันทนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชี้แจงว่า ครึ่งปีแรกปีนี้มีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 34% เป็นจำนวน 21,442 ล้านบาท เปรียบเทียบกับรายได้ 16,043 ล้านบาทของปี 2559 และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของ บริษัทมีมูลค่าลดลง 69% เป็นจำนวน 796 ล้านบาท จาก 2,581 ล้านบาทในปี 2559 เป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจในประเทศ และประสบปัญหาความต้องการของตลาดโดยรวมที่ลดลง

บริษัทยังได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวประมาณ 600 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างกิจการภายในประเทศ การตัดบัญชี สินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ในการดำเนินการ การหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักร ค่าที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ และค่าใช้จ่ายทางการเงินสำหรับเงินกู้ระยะสั้น

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า แม้กำไรลดลงแต่บริษัทยังสามารถจ่ายเงินปันผลคืนให้กับผู้ถือหุ้นได้ และโบรกเกอร์ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 2.4%

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทล่าสุดประกอบด้วย บริษัท ซันไรส์ อีคิวตี้ จำกัด 34.81% JARDINE CYCLE & CARRIAGE LIMITED หรือ หรือ JC&C 25%บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ(บีบีทีวี) 9.43% BNP PARIBAS SECURITIES SERVICES LUXEMBOURG FRENCH 2.08% เป็นต้น

ทั้งนี้จะเห็นว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง ปัจจุบันยังคงกลุ่มบริษัทซันไรส์ อีคิวตี้ และบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์ และวิทยุ หรือบีบีทีวี เป็นผู้ถือหุ้นหลัก ดังนั้นเงินปันผลระหว่างกาลที่จะได้รับในครั้งนี้มากกว่า 600 ล้านบาท จากเงินปันผลรวมที่ต้องจ่ายทั้งหมด 1.7 พันล้านบาท หากพิจารณาในส่วนหรือ JC&C ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จะได้รับเงินปันผลระหว่างกาล ประมาณ 344 ล้านบาท ขณะที่การถือหุ้นของนักลงทุนรายบุคคล ถือว่ามีสัดส่วนที่ต่ำเพียง 26% ดังนั้น กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับแรกๆ จึงน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปันผลในครั้งนี้

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยผิดหวังผลประกอบการของ SCCC และได้ปรับลดประมาณการปีนี้ลง 63% และปีหน้าลงอีก 50%หลังจากบริษัทรายงานงบไตรมาส 2ปี2560 กำไรสุทธิลดลงมากถึง 67%จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 27%จากไตรมาส1ปีนี้ แม้ว่ายอดขายไตรมาส 2ปีนี้ จะเพิ่มขึ้นทำ New High จากการรวมรายได้โรงปูนฯ ในเวียดนามเข้ามาเต็มไตรมาส แต่ถูกหักล้างด้วยตลาดในประเทศที่ชะลอตัว

รวมทั้งการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นตามราคาถ่านหินที่ขยับขึ้น อีกทั้งยังต้องบันทึกค่าใช้จ่าย one time หลายรายการในไตรมาสนี้ อาทิ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการปรับโครงสร้างกิจการในประเทศ และค่าตัดจำหน่าย

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังคาดยังไม่สดใส โดยยังต้องฝากความหวังไว้ที่การเติบโตของธุรกิจปูนซีเมนต์ในต่างประเทศ ขณะที่ตลาดในประเทศยังไม่สามารถคาดหวังถึงการฟื้นตัวได้ โดยยังต้องให้น้ำหนักไปที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐที่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังแต่ อย่างไรก็ตาม กำไรงวดครึ่งปีแรกทำได้เพียง 20% ของประมาณการเดิม จึงปรับลดประมาณการปี 2560 และ 2561 ลง 63% และ 50% ตามลำดับ

นอกจากนี้ หุ้นเพิ่มทุน 68 ล้านหุ้น (ราคาเพิ่มทุน 250 บาทต่อหุ้น) ที่เข้ามาในเดือน พ.ค.2560 ทำให้เกิด Dilution Effect จากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น 22.8% โดยรวมจึงคาดว่ากำไรต่อหุ้น ปี 2560 และ 2561 จะลดลงเหลือหุ้นละ 5.78 และ 8.6 บาทต่อหุ้น และ ปรับลดมูลค่าหุ้นปี 2560 ลงจากเดิม 275 บาท เหลือ 249 บาท หรือลดลง 9.5%

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบัน Fair Value ของฝ่ายวิจัยไปแล้ว แต่นักลงทุนก็ยังสามารถคาดหวังเงินปันผลได้ โดยประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่หุ้นละ 6 บาท หรือคิดเป็น Div. Yield ที่ราว 2.4%