Daily Market Outlook (27 ก.ค.60)

Daily Market Outlook (27 ก.ค.60)

Fed ไม่รีบคุมเข้มทางการเงิน หนุนหุ้น

คาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อวันนี้ ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มต่อ หลังคำแถลงของ Fed ระบุไม่รีบคุมเข้มทางการเงิน และบจ. สหรัฐและยุโรปประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งเพิ่มอีก นอกจากนี้ราคาน้ำมันพุ่งต่อจากสต๊อกน้ำมันที่ลดลงหนุนหุ้นพลังงาน ภายในประเทศรัฐบาลมั่นใจ GDP ไตรมาส 2 โตดีกว่า 3.3% ในไตรมาส 1 ด้วยส่งออกและท่องเที่ยวที่ดีมาก ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องมากที่สุดใน ASEANเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว

หุ้นเด่นวันนี้:SCC(ราคาปิด 500 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS ที่ 638 บาท)

SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/17 ที่ 13.2 พันล้านบาทลดลง 17% YoYและลดลง 24% QoQหากหักรายการพิเศษออกกำไรจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 15.0 พันล้านบาทลดลง 8.5% YoYแต่เพิ่มขึ้น 3.4% QoQธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ยังมีแนวโน้มสดใส (พาราไซลีนเบนซีน PTA PET) แต่สายโอเลฟินส์ (เอทิลีน, โพรพิลีน, PE, PP) ไม่สดใสจากกำลังการผลิตเอทิลีนที่เกิดจาก Shale gas ที่อาจจะเป็นซัพพลายส่วนเกินที่มากเกินไปจากสหรัฐฯ แต่เอทิลีนยังคงแข็งแกร่งที่ 682 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ยอดขายปูนซีเมนต์ในประเทศปรับตัวลดลง 7% YoYและลดลง 13% QoQในไตรมาส 2/60 เนื่องจากความต้องการที่ชะลอตัวในภาคเอกชน แต่เพิ่มขึ้น + 5% YoYในกัมพูชา อย่างไรก็ตามแนวโน้มธุรกิจปูนซีเมนต์ในครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะสดใสเนื่องจากโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่หลายโครงการกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ยอดขาย High Value Added Products ในปัจจุบันคิดเป็น 38% ของยอดขายรวมเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 32% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ EBITDA margin ของ บริษัท อยู่ที่ 20% ใน 1H60 และ 21% ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 13% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายที่แข็งแกร่งของ HVA มาจากวัสดุก่อสร้าง เราชอบกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ SCC และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าพอใจประมาณ 3.8% ต่อปี ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ผลการดำเนินงานรวมไม่ได้ทรุดตัวมากเหมือนราคาหุ้น Price Pattern ของ SCC ยังคงมีแนวโน้มหลักที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่หากปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 510 บาท โดยยังมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 516 บาท ซึ่งหาก Break ด้วยการปิดตลาดเหนือ 516 บาทได้สำเร็จ จะมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 548 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 586 บาท ตามลำดับ จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 498 บาท (Resistance: 502.00, 504.00, 510.00; Support: 498.00, 496.00, 490.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• GDP ไตรมาส 2 มีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าไตรมาสแรก รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์แสดงความมั่นใจเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/60 จะเติบโตสูงกว่าไตรมาสแรกที่ 3.3% หนุนโดยส่งออก โดยเขามองว่าภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักที่จะหนุน GDP ปีนี้เติบโต 3.5-3.8% ตามเป้าที่วางไว้ (บางกอกโพสต์)

• ธปท.ประกาศเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ได้แก่ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2560 เป็นต้นไป โดยเกณฑ์ใหม่จะรวมถึงการปรับลดวงเงินสูงสุดจาก 5 เท่า เป็น 1.5-5 เท่า อิงจากเงินเดือน ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตถูกปรับลงเป็น 18% จาก 20% (บางกอกโพสต์) ความเห็น: ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิ KTC ปี 60 และปี 61 ลง 7% และ 18% อยู่ที่ 2.76 พันล้านบาท และ 2.98 พันล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 60 ของเราลงมาอยู่ที่ 129 บาท จาก 170 บาทก่อนหน้า แต่เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากเรามองว่าการปรับตัวลงของราคาหุ้นที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยนี้ไปแล้ว

• SET ชนะตลาดหุ้นอาเซียน 5 ปีติดต่อกันแล้ว โดยที่ค่าเฉลี่ยการซื้อขายต่อวันในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4.66 หมื่นล้านบาท แม้ตัวเลขดังกล่าวจะต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 5.25 หมื่นล้านบาทก็ตาม (บางกอกโพสต์)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันพุธ หลังเฟดมีท่าทีดำเนินการเกี่ยวกับเงินเฟ้ออย่างค่อยเป็นค่อยไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลงอยู่ที่ 2.29% จากที่ระดับ 2.33% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันพุธ หลังถ้อยแถลงของเฟดระบุถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงสู่ระดับ 93.396 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 23 มิ.ย. 59 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกพอสมควร แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธ หลังเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยและมีรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากโบอิ้งกับเอทีแอนด์ที หุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวลงทำให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นไม่มาก (Reuters)

• เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น และเผยว่าเฟดกำลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างช้าๆ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และจะเริ่มปรับลดการถือครองพันธบัตร “ในไม่ช้า” ซึ่งเป็นสัญญาณความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ (Reuters)

• กำไรสุทธิของบริษัทใน S&P500 ในขณะนี้คาดว่าเพิ่มขึ้น 9.9% ในไตรมาส 2/60 โดยมีจำนวนบริษัทกว่า 33% ที่รายงานผลประกอบการแล้ว เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นเดือนนี้ว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8% (Thomson Reuters I/B/E/S)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ หนุนโดยราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทกลุ่มพลังงานและยานยนต์ (Reuters)

• ประมาณ 25% ของบริษัท MSCI ยุโรปได้รายงานผลประกอบการแล้ว และกว่า 40% ของบริษัทเหล่านี้มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด และอีก 48% ต่ำกว่าคาด (Reuters)

เอเชีย:

• คาดรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นจะแนะให้รัฐมนตรีกระทรวงการค้ากลับไปพิจารณาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ของบริษัท Chubu Electric Power จากความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น (Reuters)

• รัฐวิสาหกิจใหญ่ ๆ ของจีนกำลังจะเป็นบริษัทจำกัด (LLC) หรือบริษัทร่วมทุนภายในสิ้นปีนี้เพื่อสร้างกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น และสามารถแข่งขันในระดับโลก (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นใกล้จุดสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ในวันพุธ เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐดิ่งลงเกินคาด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 77 เซนต์ (+1.5%) อยู่ที่ 50.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวขึ้น 86 เซนต์ (+1.8%) อยู่ที่ 48.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วลดลง 7.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาดการณ์ที่ 2.6 ล้านบาร์เรล (Reuters)

• ทองกระโดด 1% สู่จุดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์วานนี้ หลังจากเฟดระบุว่าจะค่อยๆ ดำเนินการนโยบายทางการเงินแบบตึงตัว ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนตัวลง ราคาทองคำตลาดจรเพิ่มขึ้น 1.1% อยู่ที่ 1,262.11 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะมีคำแถลงการณ์เฟดออกมา ราคาทองล่วงหน้าปรับตัวลง 0.2% อยู่ที่ 1,249.40 ดอลลาร์ (Reuters)