Daily Market Outlook (26 ก.ค.60)

Daily Market Outlook (26 ก.ค.60)

แรงซื้อกลับมา

คาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อวันนี้ ตามหุ้นสหรัฐที่ทำจุดสูงสุดใหม่อีก จากตัวเลขผลประกอบการ และตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาน้ำมันพุ่งแรงด้วย นักลงทุนรอคำแถลงของ Fed เกี่ยวกับการลด QE และการขึ้นดอกเบี้ยคราวต่อไป วุฒิสภาสหรัฐมีมติพิจารณากฎหมายสาธารณสุข ความล้มเหลวในการแก้ไข พรบ.สุขภาพของ Obama จะทำให้ แผนอื่น ๆ ของ Trump ชะลอช้าออกไปหมดรวมทั้งการขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ ภายในประเทศรัฐบาลดำเนินความพยายามเร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย เมื่อวานอนุมัติส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วงทิศใต้ มูลค่า 1.01 แสนล้านบาท และงบประมาณพัฒนาการบิน 2.16 พันล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้: MTLS (ราคาปิด 35.50 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 41.00 บาท)

เราคาด บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง จะแสดงการเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเราคาดกำไรสุทธิของ MTLS ไตรมาส 2/60 จะแตะนิวไฮอีกครั้งที่ 592 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% QoQและ 97.1% YoYหนุนโดยสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ 12% QoQและ 69% YoYตามการขยายสาขาและอุปสงค์สินเชื่อที่มากขึ้นจากปัจจัยการเปิดภาคเรียนและฤดูกาลเพาะปลูก เรามองว่าสินเชื่อของบริษัทจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหนุนโดยช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ บริษัทน่าจะยังคงเพิ่มจำนวนสาขาต่อเนื่องตามเป้าที่ 2,200 สาขา จาก 2,046 สาขา แม้บริษัทจะแสดงการเติบโตของสินเชื่ออย่างรวดเร็ว แต่เราคาดอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) จะยังอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 1% ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (coverage ratio) น่าจะอยู่สูงกว่า 200% บ่งบอกถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัททั้งในแง่ของการขยายสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดสินเชื่อในปีนี้ของ MTLS จะกระโดดสูงขึ้นถึง 70% YoY เราคาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโตต่อเนื่องที่ 64.0% ในปี 60 และ 45.3% ในปี 61 Price Pattern ของ MLTS ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ MTLS มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 36.50 บาท ทั้งนี้ MTLS มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 34.75 บาท (Resistance: 35.75, 36.25, 37.00; Support: 35.00, 34.50, 33.75)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่า 1.01 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อมต่อเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โดยการประมูลการก่อสร้างคาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน ต.ค.นี้ และคาดจะเริ่มเปิดบริการได้ใน 7 ปีข้างหน้า (บางกอกโพสต์) ความเห็น: คาดปัจจัยดังกล่าวจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

• ครม.อนุมัติงบพัฒนาการบิน มูลค่ารวม 2.16 พันล้านบาท โดยประมาณ 1.4 พันล้านบาทจะใช้จัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมการบิน และอีก 760 ล้านบาทจะใช้สำหรับศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนใน 12 โครงการที่สนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือสัตหีบ (บางกอกโพสต์)

• ธปท.เฝ้าระวังเงินบาทแข็งค่าอย่างใกล้ชิด หลังจากที่แข็งค่าประมาณ 7% YTD ตามหลังเพียงแค่เงินวอนเกาหลีใต้ที่แข็งค่า 8% YTD ธปท.กล่าวว่าเงินลงทุนตรงภาคธุรกิจที่ไหลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบาทที่แข็งค่าขึ้นเช่นกัน และแนะนำภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า (บางกอกโพสต์/ไทยโพสต์)

ต่างประเทศ:

• วุฒิสภาสหรัฐเห็นชอบที่จะเปิดการโต้วาทีเกี่ยวกับร่างกฏหมายประกันสุขภาพที่จะมาใช้แทนโอบามาแคร์ ซึ่งนักลงทุนรับรู้ว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นนัยของวาระการประชุมของทรัมป์ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษี (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 เดือนเมื่อวันอังคารขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทุบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนการเผยแถลงการณ์ของเฟด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 2.33% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.25% เมื่อวันจันทร์ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันอังคาร หลังจากร่วงลงต่ำสุดในรอบ 13 เดือนเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากวุฒิสภาสหรัฐผ่านความเห็นให้ดำเนินการต่อเกี่ยวกับการยกเลิกโอบามาแคร์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ก่อนหน้านี้ปรับตัวลงต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 59 อยู่ที่ระดับ 93.638 และปิดบวก 0.15% ที่ระดับ 94.095 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งเมื่อวันอังคาร โดยดัชนี S&P500 และดัชนีแนสแดคปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนโดยรายงานผลประกอบการที่ออกมาแข็งแกร่งของบริษัทต่างๆ รวมถึงแม็คโดนัลด์และแคทเตอร์พิลลาร์ (Reuters)

• กำไรสุทธิของบริษัทใน S&P500 ในขณะนี้คาดว่าเพิ่มขึ้น 9.1% ในไตรมาส 2/60 โดยมีจำนวนบริษัทกว่า 25% ที่รายงานผลประกอบการแล้ว เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นเดือนนี้ว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8% (Thomson Reuters I/B/E/S)

• ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีในเดือนก.ค. จากมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดแรงงาน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board พุ่งขึ้นสู่ระดับ 121.1 ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ปี 2543 จากที่ระดับ 117.3 ในเดือนมิ.ย. (Conference Board)

• ราคาบ้านสหรัฐคงแนวโน้มขาขึ้นในเดือนพ.ค. ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐจัดทำโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ ปรับตัวขึ้น 5.7% YoYในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 5.8% ในเดือนเม.ย. (S&P)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นวานนี้ หนุนโดยกลุ่มคอมมอดิตี้และกลุ่มธนาคาร รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาดี โดย 20% ของบริษัททั้งหมดได้เริ่มประกาศผลการดำเนินงานไปแล้ว มากกว่าครึ่งของบริษัทเหล่านี้แสดงกำไรที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาด (Reuters)

เอเชีย:

• สมาชิก 2 รายจากคณะกรรมการบีโอเจเผยเมื่อวันอังคารว่าบีโอเจน่าจะคงความพยายามที่จะบรรลุเป้าเงินเฟ้อที่ 2%และเป็นการเร็วเกินไปที่จะมีการโต้วาทีให้ยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินขนานใหญ่ (Reuters)

• มณฑลกวางโจวประกาศเมื่อวันอังคารว่าจะขยายการระงับการซื้อขายสัตว์ปีกที่มีชีวิตไปถึงเดือนหน้า เพื่อป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อไข้หวัดนก ไข้หวัดนกสาย H7N9 คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 281 รายนับตั้งแต่เดือนต.ค. ซึ่งเป็นช่วงร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในปี 2556 (Reuters)

• เมียนมาร์รายงานการแพร่กระจายของไข้หวัดนก H5N1 ในฟาร์มแห่งหนึ่งในเขตตะนี้นตายีซึ่งอยู่ทางตอนใต้ โดยที่รัฐบาลเผยว่ามีผู้คน 13 รายได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H1N1 และมีเด็กชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากอาการคล้ายเป็นไข้หวัด (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันปรับตัวขึ้น 3.3% วานนี้ และปิดใกล้จุดสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน หลังจากผู้ผลิตสหรัฐบริษัทอันดาร์โก กล่าวว่าบริษัทจะลดแผนลงทุนด้านทุน ขณะที่ซาอุดิอาระเบียประกาศว่าจะปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมัน ราคาเบรนท์เพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์ (+3.3%) อยู่ที่ 50.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ (+3.3%) อยู่ที่ 47.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองปรับตัวลงหลังจากแตะนิวไฮในรอบ 1 เดือนวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูท่าทีของเฟด ราคาทองคำตลาดจรลดลง 0.2% อยู่ที่ 1,251.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองล่วงหน้าลดลง 0.2% อยู่ที่ 1,252.10 ดอลลาร์ (Reuters)