กองทุนมองหุ้นไทย ‘สดใส’

กองทุนมองหุ้นไทย ‘สดใส’

กองทุนมองหุ้นไทย "สดใส" จับตา 3 ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง

บลจ.กรุงศรี มองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย หลังการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง แต่แนะนำให้จับตา 3 ปัจจัย “ค่าเงิน-การเมือง-ลงทุนรัฐ” อาจมีผลต่อการเติบโตช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมประเมิน ตลาดบอนด์ครึ่งปีหลังทรงตัว ส่วนตลาดหุ้นมีลุ้น 1,700 จุด แนะเลือกลงทุนรายตัว

“สุภาพร ลีนะบรรจง” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี มองว่า เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช่วยหนุนการส่งออกให้เติบโต และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นสัญญาณที่ชี้ว่า การส่งออกน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การบริโภคภายในประเทศกลับมาขยายตัวดีขึ้นตามผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร ขณะที่การท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวดีขึ้น ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ภาคการผลิตมีสัญญาณขยายตัวและการเบิกจ่ายภาครัฐมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ทาง บลจ. กรุงศรีจึงมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้ 3.5%

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังมี 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ปัจจัยแรก คือ การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจกระทบการส่งออกที่กำลังฟื้นตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามหากเงินบาทแข็งค่าในทิศทางเดียวกับภูมิภาคก็คงไม่กระทบต่อการส่งออกมากนัก

ปัจจัยถัดมา คือ เรื่องการเมือง ถ้าหากมีการเลือกตั้งในปีหน้า อาจเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองในปีหน้า และปัจจัยสุดท้าย คือ การเบิกจ่ายของภาครัฐ หากผลักดันช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ อาจส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจได้เช่นกัน

“ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ. กรุงศรี มองว่า แนวโน้มตราสารหนี้ ยังมีปัจจัยบวก จากการที่ตลาดคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ตลอดปี 2560 ถึงแม้ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิ.ย.ติดลบ 0.5% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อครึ่งปีแรกปรับตัวขึ้นเพียง 0.67% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.2%-1.5%

ขณะที่ปัจจัยลบ มาจากปัจจัยต่างประเทศ ภายใต้ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มปรับลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินของกลุ่มยุโรปและอังกฤษ ส่วนปัจจัยในประเทศ เศรษฐกิจไทยเติบโตดี ธปท. ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพี ในปี 2560 เป็น 3.5%

สำหรับปริมาณการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นปีถึง ณ 30 มิ.ย. 2560 มีมูลค่า 723,011 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 98,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว

อย่างไรก็ตามช่วงครึ่งปีหลัง มองว่า แรงไล่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติ จะไม่เหมือนช่วงต้นปี แต่จะทรงตัว ด้วยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางอายุ 2-3 ปี เฉลี่ยที่ 2-3% โดยยังต้องจับตาความเสี่ยงตลาดในประเทศเป็นหลัก

ส่วนความกังวลตั๋วบีอี มาจากความไม่เชื่อใจ บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กและกลาง ที่ไม่สามารถรีไฟแนนซ์ได้ แต่ปัจจุบันนักลงทุนรู้และระหว่างความเสี่ยงดังกล่าวมากขึ้น ทำให้เห็นเงินลงทุนบางส่วนหันมาพักเงินในมันนี่มาร์เก็ตและไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนดี และความเสี่ยงเครดิตดีฟอลท์ต่างประเทศไม่น่ากลัว

ดังนั้น ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ทั้งปีนี้จะยังมีเงินของนักลงทุนต่างชาติเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยยังเป็นบวก ส่วนตลาดพันธบัตรในต่างประเทศ ยังมีความน่าสนใจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ยังเป็นขาขึ้นและอัตราเงินเฟ้อยังต่ำ ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 10% และยังได้รับส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ถือว่า สู้กับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ แต่ครึ่งปีหลังยังต้องระวัง ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องจับตา

นายวิพุธ เอื้ออานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ. กรุงศรี มองว่า การจัดสรรเงินลงทุนทั่วโลกไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก ในปีนี้ยังให้น้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้น มากกว่าตลาดตราสารหนี้ โดยยังมีมุมมองเชิงบวก ต่อการลงทุนตราสารทุน ในระยะกลางถึงยาว จากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทย คาดว่าดัชนีเป้าหมายสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด หรืออยู่ในช่วง 1,450-1,700 จุด และในปีหน้ามีโอกาสที่ดัชนีตลาดจะปรับขึ้นได้อีกจากปีนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงตลาดทุนไทยครึ่งปีหลัง ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังผันผวน จากปัจจัยในต่างประเทศจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุลของเฟดรวมถึงธนาคารกลางอื่นๆ เข้าร่วมลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน รวมทั้งปัจจัยในประเทศจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ฟื้น หวังรัฐบาลผลักดันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารทุนในระยะกลางถึงยาว จากผลงานของบริษัทจดทะเบียน ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน บลจ. กรุงศรี ยังเน้นลงทุนรายตัว ในบริษัทคุณภาพที่มีแนวโน้ม เติบโตดีในระยะปานกลางถึงกลาง ให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด ในหุ้นกลุ่มการเงิน หลักทรัพย์ สื่อสิ่งพิมพ์ ผู้พัฒนาอสังหา และให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด ในหุ้นกลุ่มพลังงาน สาธารณูปโภคและการสื่อสาร