แอสเซทพลัสเร่งเคลียร์หนี้ 'ไอเฟค'

แอสเซทพลัสเร่งเคลียร์หนี้ 'ไอเฟค'

แอสเซทพลัสเร่งเคลียร์หนี้ "ไอเฟค" อยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมาย รุกปรับกลยุทธ์กองเอไอใหม่

บลจ.แอสเซทพลัส เกาะติดหนี้ “ไอเฟค” หวังเร่งเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น ชี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนกลยุทธ์กองทุนเอไอ หันเน้นลงทุนตราสารคุณภาพ พร้อมปรับรูปแบบเป็นกองทุนเปิด ลดการออกเทอมฟันด์ มองตลาดหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,650 จุด 

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเร่งรัดติดตามหนี้บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ไอเฟค อย่างต่อเนื่อง สำหรับการจัดการหนี้ดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างจัดการตามขบวนการทางกฎหมาย ในส่วนของลูกค้าบริษัทพยายามให้ข้อมูลล่าสุด แก่ลูกค้าตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าปัญหาดังกล่าวจะยุติเมื่อไหร่ แต่ทางบริษัทไม่นิ่งนอนใจและยังคงเร่งรัดจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ส่วนกลยุทธ์กองทุน AI (กองทุนที่เน้นขายเฉพาะรายใหญ่) ของบริษัทตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่มีเรทติ้ง ทำให้กองทุน AI ที่ออกมาใหม่จะมีเรทติ้งที่มีคุณภาพเป็นหลัก และกองทุน AI ไม่ได้เป็นกองทุนประเภทเทอมฟันด์เหมือนช่วงที่ผ่านมา โดยปรับมาเป็นกองทุนเปิดแทน สำหรับผลตอบแทนยังคงอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยต่อปีที่ 2-4% ขณะที่กองทุน AI เดิมประเภทเทอมฟันด์เฉลี่ยต่อเทอมอยู่ที่ 2-3%

สำหรับสัดส่วนกองทุน AI หลังปรับกลยุทธ์ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีมากกว่า 20,000 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) สิ้นปี 2559 อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ที่ 42,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีโตแตะที่ระดับ 50,000 ล้านบาท เติบโตราว 20%

ล่าสุด บริษัทเปิดขาย 2 กองทุน โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 17 ก.ค.-1 ส.ค. 2560 ประกอบด้วยกองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ (ASP-SME) มองว่าผลตอบแทนจะเติบโตสูง 15% ขึ้นไป กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดเอ็มเอไอ

สำหรับกลุ่มหุ้นที่เลือกเข้ามาลงทุนจะเป็นหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับ CLAV เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น ส่วนอีกกองทุน คือ กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เฟล็กซิเบิ้ล พลัส (ASP-FLEXPLUS) กองทุนนี้มองผลตอบแทนเติบโตราว 10-15% โดยเน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตราสารหนี้ในต่างประเทศ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน รีท ทั้งยังสามารถกระจายการลงทุนไปในหุ้นภูมิภาคอาเซียนอย่างตลาดหุ้นเวียดนามและฟิลิปปินส์

สำหรับภาวะหุ้นไทยโดยรวมคาดว่าปีนี้อยู่ที่ 1,600-1,650 จุด ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกภายในประเทศ ทำให้ภาพการลงทุนมีภาพเป็นบวกมากขึ้น สำหรับหลักทรัพย์ที่น่าสนใจ คือหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เกี่ยวกับโครงการภาครัฐ เกี่ยวข้องกับ CLMVเป็นหลัก

“มองตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังปรับตัวในกรอบแคบและยังมี Upside ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการบริโภคในประเทศเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยมองเป้าหมาย SET Index ในกรอบ 1,600-1,650 จุด”

ทั้งนี้ เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะเห็นเม็ดเงินในการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพิ่มขึ้น เช่นกันกับตัวเลขภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ขณะที่หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง (Small-Mid Cap) ยังมีโอกาสเติบโตสูง ทั้งยังเป็นจังหวะสำหรับการเข้าลงทุนในระยะยาวเนื่องจากมูลค่าหุ้น (valuation) ในปัจจุบันถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มจะเติบโตที่ 9% ในปีนี้ และ 11% ในปี 2561