สนช.ลงมติท่วมท้น ผ่านร่างพ.ร.ป.กกต.

สนช.ลงมติท่วมท้น ผ่านร่างพ.ร.ป.กกต.

สนช.ลงมติท่วมท้น 194 เสียง เห็นชอบร่างพ.ร.ป.กกต.

ที่รัฐสภา มีกาประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลัง จากที่คณะกรรมาธิการร่วม3 ฝ่าย ได้พิจารณาทบทวนข้อโต้แย้ง 6ประเด็นของกกต.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. ในฐานะประธานกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ได้รายงานผลการพิจารณากรณีที่กกต.โต้แย้งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว 6 ประเด็นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้แก่ 1.มาตรา11 วรรค3 การกำหนดคุณสมบัติ ของกรรมการสรรหาเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 2.มาตรา12 วรรค1 การกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 3.มาตรา26 หน้าที่และอำนาจของกกต.แต่ละคน 4.มาตรา 27 อำนาจการจัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น 5.มาตรา42 การบัญญัติให้กกต.มอบอำนาจการสอบสวนได้ 6.มาตรา70 วรรค1 การให้ประธานกกต.และกกต. ที่ดำรงตำแหน่งในวันก่อนที่พ.ร.บ.คณะกรรมการเลือกตั้งใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ ซึ่งกมธ.ร่วม 3ฝ่ายประกอบด้วยสนช. 5 คน กรธ. 5 คน และประธานกกต. พิจารณาแล้ว มีมติเสียงข้างมากในแต่ละประเด็นว่า ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และตรงตามเจตนารมณ์ทุกประการ จึงไม่มีการแก้ไขร่างที่สนช.ให้ความเห็นชอบแล้วแต่อย่างใด

จากนั้นนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมาธิการร่วม 3ฝ่าย ได้อภิปรายประเด็นที่สงวนความเห็นทั้ง 6ประเด็นต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่า แต่ละประเด็นมีความขัดแย้งต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 70 วรรค1 ที่ระบุให้กกต.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับจากวันที่ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ถือว่า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 267 วรรค2 และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ประเพณีรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นการออกกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเพราะองค์กรอิสระอื่นอาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ทั้งนี้กมธ.ได้แก้ไขเนื้อหาที่เป็นหลักการสาระสำคัญของกรธ. โดยมิได้รับฟังเหตุผลให้รอบด้านจากผู้เกี่ยวข้อง และไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา การให้กกต.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิบุคคลมากเกินไป เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อการคงอยู่ของกกต.อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน แต่ในฐานะนักกฎหมาย เมื่อเห็นว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญจึงต้องโต้แย้ง กกต.ต้องรักษาศักดิ์ศรี แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าผลจะออกมาอย่างไร สนช.เป็นผู้ออกกฎหมายภายใต้หลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนร่างพ.ร.บ.กกต.อีกสักครั้ง

ขณะที่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ กรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายเสียงข้างมาก ชี้แจงต่อที่ประชุมสนช.ว่า สิ่งที่กมธ.ร่วมลงมติไป ไม่ได้ยึดตัวบุคคล แต่ยึดเจตนารมณ์และหลักการเป็นตัวตั้ง การลงมติเป็นไปด้วยจิตใจสะอาด สว่าง สงบ ปราศจากอคติในการใช้ดุลยพินิจ เป็นไปตามหลักการและเหตุผล บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุให้องค์กรอิสระต้องคงอยู่ต่อไป แต่ให้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและองค์ประกอบขององค์กรอิสระแต่ละแห่งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ไม่อยากให้มองว่าการดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็นเรื่องสิทธิ ถ้ามองเป็นเรื่องสิทธิก็จะคงอยู่ตลอดไป แต่ขอให้มองเป็นเรื่องการอาสามาปฏิบัติหน้าที่ และการให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 70 วรรค1 ไม่ใช่การลงโทษ เพราะมีการระบุชัดเจนให้ผู้พ้นตำแหน่งได้รับบำเหน็จจากการพ้นการปฏิบัติหน้าที่ หากเป็นการลงโทษคงไม่ระบุเรื่องนี้ไว้ และไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม แต่เป็นความจำเป็นเมื่อมีการปรับโครงสร้างองค์กร ไม่ใช่การออกกฎหมายย้อนหลังโดยเป็นโทษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทุกฝ่ายชี้แจงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมสนช.ลงมติให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้งด้วยคะแนน 194 ต่อ 0 งดออกเสียง7 ส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ถือเป็นร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่สนช.ให้ความเห็นชอบและเสร็จสิ้นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนด