Daily Market Outlook (13 ก.ค.60)

Daily Market Outlook (13 ก.ค.60)

กลัว Fed ขึ้นดอกเบี้ยลดลง

คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นหลังคำแถลงของประธาน Fed ต่อรัฐสภาสหรัฐไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ไม่เร่งถอนนโยบายกระตุ้นการเงิน ทำให้ความกลัวของนักลงทุนลดลง อย่างไรก็ตาม ตลาดยังต้องระวังการลงมติรับหรือไม่รับร่างกฎหมายสุขภาพของรีพับลิกันสัปดาห์หน้าซึ่งจะมีผลต่อการที่ Trump จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่หาเสียงไว้ ปัจจัยภายในประเทศมีทั้งบวกและลบ จำนวนนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรกโต 5% แต่การใช้จ่ายโฆษณาหด 7% KTB ตั้งสำรองเต็มจำนวนหนี้ EARTH 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการและแนะนำนักลงทุนหันไปเล่นหุ้นธนาคารอื่นแทน

หุ้นเด่นวันนี้: KKP(ราคาปิด 73.25 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 79.00 บาท)

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นแนะนำในวันนี้จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่ง สินเชื่อที่เติบโตดีเหนือคู่แข่ง และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจมาก เราคาดกำไรสุทธิของ KKP ในไตรมาส 2/60 จะเติบโต 17.7% YoYอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท หนุนโดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ยังอยู่ในระดับสูง ระดับการตั้งสำรองที่ลดลง และสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้น เราคาด KKP จะแสดงการเติบโตของสินเชื่อไตรมาส 2/60 สูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 3.9% YTD ปัจจัยหลักของการปรับตัวดีขึ้นของสินเชื่อจะมาจากกลยุทธ์ของธนาคารที่มุ่งเน้นสินเชื่อกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากสินเชื่อเช่าซื้อ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเคหะ และสินเชื่อ SME รถคูณ 3 เรามองว่าสินเชื่อของธนาคารจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หนุนโดยสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เราประมาณการสินเชื่อปี 60 เติบโต 6% ฟื้นตัวจากที่หดตัวในช่วง 3 ปีก่อนหน้า เราคาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโต 6.4% ในปี 60 และ 10.4% ในปี 61 นอกจากนี้ หุ้น KKP มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดีมากที่ 5.5%Price Pattern ของ KKP มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ KKP มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 81 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 100 บาท ทั้งนี้ KKP มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 69.50 บาท (Resistance: 73.75, 74.50, 75.50; Support: 73.00, 72.25, 71.25)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพิ่มขึ้นในครึ่งแรกปีนี้ 5% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 18 ล้านรายบางส่วนหนุนโดยการมาใช้บริการโรงพยาบาล (Bangkok Post)

• ยอดใช้จ่ายโฆษณาครึ่งปีแรกลดลง 7.08%เทียบปีก่อนสู่ 5.28 หมื่น ลบ. ส่วนที่ร่วงหนักสุดคือนิตยสารและหนังสือพิมพ์ร่วงลง 37.5% และ 20.7% ตามลำดับ การใช้จ่ายผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตเองก็ร่วงลงผิดคาด 10.1% สู่ 763 ลบ. ในทางกลับกันสื่อภายในอาคารพุ่ง 39.1% สู่ 474 ลบ. สื่อบนระบบขนส่งพุ่ง 26.8% สู่ 3.09 พัน ลบ. และสื่อโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 25.3% สู่ 3.4 พัน ลบ. (Bangkok Post)

• KTB (ราคาปิด 19.00 บาท) CEO ของธนาคาร นายผยง ศรีวณิช ยอมรับว่าธนาคารได้จัดชั้นหนี้ของ EARTH จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แล้ว (NPL) และได้ตั้งสำรองเต็มจำนวนในไตรมาส 2 ทันที (efinanceThai)ความเห็น: เราคาดการตั้งสำรองดังกล่าวอาจส่งผลให้กำไรไตรมาส 2/60 ของ KTB ลดลงได้มากถึง 63% YoYอยู่ที่ 3 พันล้านบาท ถ้าพิจารณาปัจจัยนี้เพียงปัจจัยเดียว เราคาดสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อเฉลี่ย (credit cost) ของปี 60 จะเพิ่มขึ้น 55bps อยู่ที่ 205bps ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิปี 60 ลดลง 23.8% อยู่ที่ 2.67 หมื่นล้านบาท (-17.2% YoY) อย่างไรก็ตาม เรากำลังปรับประมาณการอยู่และจะรอฟังจากประชุมนักวิเคราะห์ของ KTB ที่จะจัดในสัปดาห์หน้าหรือ
สัปดาห์ถัดไป เราแนะนำนักลงทุนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นธนาคารตัวอื่นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีกว่าแทน เช่น SCB (ราคาปิด 157.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 185.00 บาท) TCAP (ราคาปิด 47.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 55.00 บาท) และ BBL (ราคาปิด 187.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 213.00 บาท)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันพุธ หลังนางเยลเลนแถลงนโยบายทางการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปีปรับตัวลงสู่ระดับ 2.302% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ จากที่ระดับ 2.362% เมื่อวันอังคาร และปิดที่ระดับ 2.319% (Reuters)

• CME ระบุว่ามีโอกาส 53% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ลดลงจากก่อนที่มีการเผยแพร่สุนทรพจน์ของประธานเฟด (CME)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักในวันนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวที่ระดับ 95.758 หลังจากถอยสู่ระดับ 95.511 ในวันก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 วัน (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งเมื่อวันพุธ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังการแถลงนโยบายของนางเจเน็ต เยลเลนประธานเฟดต่อคณะกรรมาธิการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Reuters)

• นางเจเน็ต เยลเลนประธานเฟดเผยว่าเฟดจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนสู่ระดับเป็นกลางและทยอยปรับลดงบดุลของเฟด อัตราดอกเบี้ยในระดับที่เป็นกลางหมายถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว (Reuters)

• ทรัมป์ จูเนียร์เผยไว้ในอีเมลเมื่อวันอังคารที่ระบุว่าเขาได้พบกับทนายความชาวรัสเซีย ซึ่งอาจมีข้อมูลที่เป็นเรื่องเสียหายของนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนจากรัสเซียในการหาเสียงเลือกตั้งของปธน.ทรัมป์ อีเมลดังกล่าวเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในทีมหาเสียงของทรัมป์น่าจะยอมให้รัสเซียเข้ามาช่วยเพื่อที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 8 พ.ย. โดยเรื่องดังกล่าวกระตุ้นให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐและสภาคองเกรสดำเนินการสอบสวน (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ นอกจากนี้ หุ้นค้าปลีกเช่น Burberry และ B&M ช่วยหนุนตลาดโดยรวมเช่นกัน ขณะที่การปรับตัวลงของ Pearson ถ่วงหุ้นกลุ่มมีเดีย (Reuters)

เอเชีย:

• BOJ มุ่งรักษาระดับเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและเฟดเริ่มลดปริมาณเงินในระบบ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกส่งผลให้ BOJ เข้าซื้อพันธบัตรมากขึ้น เพื่อจำกัดให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับเป้าหมายที่ 0% (Reuters)

• ธนาคารจีนปล่อยสินเชื่อมากกว่าที่คาดในเดือนมิ.ย. แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องสินเชื่อก็ตาม แต่ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ สินเชื่อใหม่ในเดือนมิ.ย. อยู่ที่ 1.54 ล้านล้านหยวน (2.269 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.2 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจาก 1.11 ล้านล้านหยวนในเดือนพ.ค. M2 เพิ่มขึ้น 9.4% YoYในเดือนมิ.ย. น้อยกว่าที่ประมาณการว่าจะขยายตัว 9.5% และน้อยกว่าในเดือนพ.ค. ที่ 9.6% (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันบวกวันพุธ จากข้อมูลว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลงมาก แต่สต็อกก็ยังเท่ากับ 495.4 ล้านบาร์เรลซึ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ย น้ำมันดิบสหรัฐลดลง 7.6 ล้านบาร์เรลสัปดาห์ที่แล้ว ร่วงแรงสุดในรอบ 10 เดือน ลดมากกว่า EIA คาดไว้ที่ 2.9 ล้านบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์บวก 44 เซนต์ (0.9%) ปิดที่ 47.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐบวก 63 เซนต์ (1.4%) ปิดที่ 45.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำบวกวันพุธ เพราะ Yellenแถลงในเชิงผ่อนคลายดอกเบี้ยไว้ก่อนลดการเก็งกำไรว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งในปีนี้ ทองคำตลาดจรบวก 0.24% ปิด 1,220.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบ ส.ค. บวก 0.36% ปิดที่ 1,219.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)