ปฏิรูปสื่อ ดูแลความเรียบร้อยโลกโซเชียล ปิดช่องทางเบี้ยวภาษี….หลายความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ที่กำลังถูกจัดระบบ
เมื่อหลายเดือนก่อนมีเรื่องเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ เพื่อความเท่าเทียมระหว่างร้านค้ากับสินค้าที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์
ส่วนเมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้ขอความร่วมมือจากแฟนบุ๊คแฟนเพจที่มียอดติดตามเกิน 1 ล้านคนให้ลงทะเบียนยืนยันตัวตน เพื่อเตรียมออกมาตรการควบคุมเนื้อหา
ขณะที่ไม่กี่วัน หมาดๆ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอแนวทางปฏิรูปสื่อออนไลน์ แบ่งเป็นระยะเร่งด่วนที่ต้องจัดระเบียบการลงทะเบียนโทรศัพท์มือถือ ใช้ลายนิ้วมือ-ใบหน้า ควบคู่กับการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนยืนยันตัวตน และระยะยาวที่ว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์การตระหนักรู้ในการใช้สื่อ ทั้งนี้ยังควบคู่ไปกับมาตรการทางภาษี ที่กรมสรรพากรจะปรับปรุงกฎหมายให้ผู้เข้าข่ายประกอบธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีด้วย
“นี่คือมาตรการล้อมคอกหลังโลกออนไลน์เละตุ้มเปะ มีเสรีภาพแต่ไร้ความรับผิดชอบ, คนร้ายกลายเป็นเน็ตไอดอล, เพจดาร์คกลายเป็นเพจป๊อบ” ใครบางคนพูดขึ้น... เวลาเดียวกับที่อีกด้านมองว่า “เรามาทางจุดนี้ได้อย่างไร เพราะหนทางที่ว่านี้น่าจะพาประเทศไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 0.44 (ม.44) แทนที่จะเป็น 4.0”
เมื่อโลกออนไลน์กำลังจัดระเบียบ พร้อมๆกับที่ใครบางคนกำลังข้องใจ ลองถอยออกนอกวงสักพัก แล้วสำรวจดูว่าในสถานการณ์เช่นนี้ มีอะไรที่ชาวเน็ตไทยต้องติดตามบ้าง
ออนไลน์ Fair play
พอได้ยินเรื่องการจัดระเบียบมันก็อดคิดไปถึงบางคำ อย่างการควบคุมสื่อ ซิงเกิลเกตเวย์ ปรับทัศนคติ ฯลฯ ไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ต้องใช้เลขบัตรประชาชน Login ก่อนเข้าโซเชียลทุกครั้งคงไม่ไหวจะเคลียร์ จึงไม่แปลกหรอกที่แนวคิดนี้กำลังถูกถล่มจากชาวเน็ต ทั้งที่ยังไม่ทันจะเริ่ม
เจ้าของเว็ปไซต์ชื่อดังรายหนึ่ง บอกว่า จนถึงขณะนี้นโยบายการจัดระเบียบสื่อออนไลน์ของรัฐบาล ยังคงสะเปะสะปะไร้ทิศทางและไม่เข้าท่า เพราะดันเอาคณะกรรมการอาวุโสที่ตามโลกออนไลน์ “ไม่ทัน” มาร่างกติกา รายละเอียดที่เข้าใจกัน จึงเหมือนผู้ใหญ่ไล่จับเด็กมากกว่าส่งเสริมให้แข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า กติกาที่ออกมาก็น่าจะสามารถจัดการกับผู้ผลิตคอนเทนท์ที่อยู่ในระบบได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำอะไรกับ “เด็กดื้อ” ที่ไม่เชื่อฟังได้
วริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ บอกว่า เขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดระบบในความหมายของการปิดกั้นเสรีภาพ แต่เข้าใจได้หากต้องจัดระเบียบในความหมายของการเป็นธรรมและเท่าเทียม โดยเฉพาะในกรณี Host แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ข้องเกี่ยวกับผู้คนในวงกว้างไม่ต่างจากสื่อกระแสหลัก
“ถ้าเทียบมาตรฐานเดียวกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว อย่างในเว็บบอร์ดหนึ่ง เมื่อมีโพสต์ข้อความที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย มีการเอาเนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เมื่อถูกฟ้องร้องก็เป็นเรื่องที่เว็บมาสเตอร์หรือผู้บริหารต้องรับผิดชอบไป ดังนั้นหากมีเนื้อหาที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิ มีการนำภาพที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย ก็ควรมีช่องทางให้ผู้ให้บริการร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะการกด Report (ในเฟสบุ๊ค) อย่างเดียวพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอต่อการสร้างมาตรฐานควบคุม”
แน่นอนว่า เราเคารพถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก แต่เรากำลังพูดถึงดินแดนใหม่ที่ยังไม่มีกติกาชัดเจน ลองคิดถึง Live สดฆ่าตัวตาย หรือเพจข่าวที่นำภาพเหยื่อมาแสดงให้เห็นกันจะๆ เพื่อเรียกอารมณ์และยอดเข้าชม วริษฐ์ เสนอว่า ก่อนที่ใครๆจะต่อต้านไปก่อน ผู้มีอำนาจต้องวางกติกาให้ชัดว่า ปัญหาคือเรื่องใด และแก้ให้ถูกจุด อาจจะเริ่มจากช่องทางประเภทฮาร์ดคอร์ก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาไปถึงโมเดลของเพจข่าว เพจ Influencer ที่ไม่ได้มีปัญหารุนแรงเมื่อเทียบกับประเภทแรก แล้วค่อยๆปรับระดับให้เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งต่างจากจีน สิงคโปร์ ที่มักถูกผู้มีอำนาจพูดถึงการจัดระเบียบสื่อ
โอทีที เรื่องนี้ที่คาใจ
เนื้อหาก็สำคัญ แต่ที่พูดกันมากน่าจะเป็นเรื่องของ OTT (Over The Top) ที่ยังคาใจ ซึ่งตอนนี้ กสทช.ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแลการแข่งขันในกิจการโทรทัศน์มองแล้วว่า เมื่อคนดูทีวีบนแพลตฟอร์มดั้งเดิมลดลงเรื่อยๆ จึงถึงเวลาต้องตัดผู้ให้บริการส่วนนี้บ้าง
โอทีทีในประเทศไทยที่จะนำมาพิจารณาในขณะนี้ ก็น่าจะแบ่งได้เป็น 6 ประเภท นั่นคือ 1.ผู้ให้บริการแบบอิสระ เช่น เฟสบุ๊ค ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ 2.ผู้ผลิตคอนเทนท์ที่มีให้บริการรับสมาชิก อาทิโชว์ไทม์ เอชบีโอ เอ็มแอลบี 3.ช่องรายการโทรทัศน์ทีมีการให้บริการควบคู่กับโทรทัศน์ 4.ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ให้บริการ เช่น เอไอเอสเพย์ 5.ผู้ให้บริการเพย์ทีวีในรูปแบบโอทีที ได้แก่ พีเอสไอ ทรูวิชั่นส์ 6. ผู้ให้บริการโอทีทีที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการ
ที่น่าจับตาก็น่าจะเป็นโอทีทีอย่างเฟซบุ๊คและยูทูบ ที่สร้างรายได้จากการโฆษณาออนไลน์และเอาเงินที่คนไทยต้องจ่ายไหลออกนอกประเทศ แต่ไม่ยอมจ่ายภาษีสรรพากรทั้งที่ทำรายได้หลายพันล้านบาท
โซเชียลแอดมินรายหนึ่ง บอกว่า เสียเงินบูธเพจในเฟสบุ๊คเพื่อแลกกับจำนวนคนเข้าถึงเนื้อหาในทุกสัปดาห์ แต่หลักฐานที่ได้จากการจ่ายเงินคือใบเสร็จบัตรเครดิต ไม่เคยได้ใบกำกับภาษีที่ออกในนามเฟสบุ๊คจริงๆ ทั้งนี้เชื่อว่าคนที่ทำเพจหรือดูแลเพจที่ประสบความสำเร็จมากกว่าร้อยละ 70 ต้องเสียเงินบูธเพจเป็นกิจวัตร เพราะลำพังจะให้เพจเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติคงยากเต็มทน
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ บอกว่า หากไม่ควบคุมภาษีของผู้ให้บริการข้ามชาติเหล่านี้ ประเทศจะสูญเสียรายได้จากการโฆษณา ราวปีละ 10,000 ล้านบาทต่อปีเป็นอย่างต่ำ การกำกับดูแลเชิงผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนในประเทศไทยและต่างประเทศก็จะมี 2 มาตรฐาน จนเกิดการแข่งขันที่ไม่เสรี ไม่เป็นธรรม
มากกว่านั้นการลงทุนพัฒนาแพลทฟอร์มโดยคนไทยจะเกิดยาก เพราะรัฐบาลไทย ไม่มีมาตรการทางภาษีเป็นกำแพงหรือใช้สำหรับการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศ บริษัทมีเดีย เทคโนโลยีต่างชาติจะเข้ามาทำลายโครงสร้างอุตสาหกรรมสื่อในท้องถิ่นตายหมดสิ้น ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้ที่ควรจะจัดเก็บได้ ทั้งที่เสียงบประมาณวางโครงสร้างพื้นฐาน
“อย่าเพิ่งคิดว่า กสทช.เล่นใหญ่ที่จะไปเรียกเก็บภาษีจากบริษัทต่างชาติอย่างเฟสบุ๊คหรือกูเกิ้ล เรื่องนี้กสทช.สามารถทำได้ครับ เพราะผู้ให้บริการโอทีทีประเภทนี้ให้บริการผ่านเครือข่ายโทรคมนาคมของประเทศไทยอยู่ ลองไปดูกรณีของประเทศออสเตรเลียผ่านกฎหมายเก็บภาษีจากเฟสบุ๊ค ซึ่งตอนนี้เฟสบุ๊คก็ยังไม่ได้จ่ายนะ แต่ก็ต้องคิดหนัก เพราะถ้าไม่ปฏิบัติ ก็อาจจะเสียฐานลูกค้าจากประเทศนี้ไป เพราะนโยบายของประเทศชัดว่าต้องการให้เรียกเก็บภาษี” อ้างอิงจาก (Google and Facebook now paying full tax in Australia, says government treasurer -http://www.independent.co.uk สืบค้นเมื่อ 5 ก.ค.60)
จักรพงษ์ คงมาลัย หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thumbsup และคลุกคลีในวงการดิจิทัลมานาน กล่าวเรื่องเดียวกันนี้ว่า หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหาเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และยังไม่มีโมเดลของประเทศใดที่เป็นข้อสรุปที่ดีที่สุด เพราะเทคโนโลยีและเทรนด์ของโซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนไปตลอด ปัญหาจากโซเชียลเน็ตเวิร์คในเรื่องนี้คือเรื่องใหม่ ซึ่งแต่ละประเทศก็กำลังจัดวางโครงสร้างที่เหมาะสม ถ้าจะมองเรื่องนี้ก็ต้องดูไปยาวๆว่า จะมีมาตรการที่เป็นธรรม และส่งเสริมการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ขนาดไหน
ชาวเน็ตเตรียมรับมือ
ไม่กี่เดือนก่อน Google ประเทศไทย เพิ่งเปิดตัวเว็บไซต์ Creator Community สำหรับภาษาไทย เพื่อช่วยพัฒนาครีเอเตอร์ในประเทศไทยได้มีแหล่งเรียนรู้และขยายฐานผู้ชมบนช่อง YouTube หลัง3-4 ปีที่ผ่านมาจำนวนผู้ผลิตเนื้อหาและเผยแพร่ในยูทูบประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่งาน Thailand Zocial Awards 2017 สรุปข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยที่ใช้ Social Media ตลอดปี 2016 – เดือนพฤษภาคม 2017 ว่ายังมีจำนวนมากขึ้น โดยคนไทยยังมีเฟสบุ๊ครวมกันถึง 47 ล้านคน
“จุดประกาย” สอบถามผู้ผลิตคอนเทนท์ ซึ่งมีชาแนลในยูทูบและแฟนเพจส่วนหนึ่ง ทั้งหมดยังไม่มีใครฟันธงชัดๆ ได้ แต่ขอรอดูว่า หลักเกณฑ์ที่กสทช.ออกมาจะเป็นอย่างไร เพราะเวลาพูดถึงสื่อออนไลน์ มันครอบคลุมความหมายที่กว้างมาก อีกทั้งเชื่อว่า ถ้ากสทช.มีมาตรการใดๆ ที่ไม่สมเหตุสมผล พาประเทศกลับสู่ยุคก่อนมีอินเทอร์เน็ตจริงๆ ก็คงจะมีแถลงการณ์และกลุ่มต่อต้านออกมาแน่ๆ
ส่วนเน็ตไอดอลรายหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ในมุมของเขาว่า เนื้อหาในลักษณะแบบ Entertainment ที่ทำอยู่ไม่น่าจะขัดกับข้อระเบียบ แตกต่างกับเพจข่าวที่มักถูกจับตามากกว่า มันจึงเป็นไปได้ว่าเรื่องความบันเทิงในออนไลน์ยังไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามอินเทอร์เน็ตต้องมีความหลากหลาย จะมีแต่บันเทิงอย่างเดียวไม่ได้ และหากกติกาออกมาขัดกับเสรีภาพอย่างที่เป็นห่วงกัน ก็น่าจะส่งผลในแง่ลบของประเทศ ทั้งการแข่งขันทางการค้า ภาพลักษณ์ของประเทศที่หวังใช้นวัตกรรมขับเคลื่อน
“เชื่อว่าทุกคนได้ยินข่าวมาตลอดว่าจะจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเวลาพูดถึงสื่อออนไลน์ จะนับเฉพาะข่าว แต่จะรวมถึง Influencer ด้วยไหม ไหนจะมีพวกทำเพจที่ไม่ได้มีรายได้เข้ามาประจำ หรือใช้ช่องทางโซเชียล เพื่อเป็นโชว์รูมสินค้า เพื่อการจ้างงานจริงๆอีก วันนี้ถ้าถามว่าชาวเน็ตเป็นอย่างไร ทุกคนก็ยังสับสนว่าสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการคืออะไรกันแน่"
สำหรับผู้ผลิตคอนเทนท์ในระบบ อย่างไรก็น่าจะปฏิบัติตามอยู่ดี เพราะวันนี้คงไม่มีทางเลือก ใครๆ ก็ล้วนพึ่งพาช่องทางออนไลน์ ทั้งคนทำสื่อ ร้านค้า และการหาข้อมูลความรู้ทั้งหมด จะสร้างมาตรฐานในโลกออนไลน์ก็ควรจะใช้แนวคิดที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่
ชาวเน็ตไทยเข้าใจความเป็นไปและพร้อมปรับตัว ส่วนฝั่งผู้มีอำนาจละ เข้าใจมันขนาดไหน?