สภาอุตฯใต้เสนอรัฐใช้ม.44แก้ยาง-ปาล์ม หวั่นครึ่งปีหลังวูบหนัก

สภาอุตฯใต้เสนอรัฐใช้ม.44แก้ยาง-ปาล์ม หวั่นครึ่งปีหลังวูบหนัก

ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ เสนอให้รัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษ เข้ามาแก้ปัญหาราคายาง-ปาล์มตกต่ำ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว หวั่นเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี 60 ดิ่งเหว

นายวิถี สุพิทักษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทวู้ดเวอร์ค ผู้ประกอบการธุรกิจยางพารารายใหญ่ของจังหวัดตรัง และประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของจังหวัดตรังและของภาคใต้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ (กรกฎาคม-ธันวาคม2560) ยังคงต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเติบโตได้น้อยกว่าปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากปัญหาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมันที่มีราคาตกต่ำ นับตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นมา

ขณะที่ มาตรการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่เป็นรูปธรรมเด่นชัด เช่น การสนับสนุนให้ใช้ยางพาราในประเทศเพื่อทำถนนหรือทำผลิตภัณฑ์ต่างๆมากขึ้นแต่ในความเป็นจริงกลับยังคงมีการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดหรือติดขัดในเรื่องระบบราชการแบบเดิมๆ ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจพิเศษที่จะเข้าไปดำเนินการให้ทุกอย่างเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และขณะนี้ก็กำลังมีปัญหาเรื่องกฏหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ที่มีความจำเป็นต้องนำแรงงานต่างด้าวมาใช้งานต่างๆ เช่นการกรีดยาง การตัดปาล์มหรือการจับสัตว์น้ำ เพราะหาแรงงานคนไทยได้ยาก

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นในช่วงต้นปี 2560 ภาคการเกษตรของภาคใต้กำลังมีทิศทางที่สดใสรวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวละส่งผลดีมาถึงภาคอุตสาหกรรม แต่เมื่อถึงช่วงปลายไตรมาส 2 (เมษายน-มิถุนายน) พืชผลทางการเกษตรกรกลับมีราคาตกต่ำลงอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรต้องประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากมีรายได้ลดลง แต่มีรายจ่ายหรือค่าครองชีพต่างๆ ที่สูงขึ้นและยังมองไม่เห็นว่าในอนาคตจะดีขึ้นหรือไม่อย่างไร

โดยเฉพาะยางพาราที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ40บาท ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือลูกจ้างหรือคนกรีดยาง เนื่องจากเมื่อแบ่งรายได้กับนายจ้างหรือเจ้าของสวนในอัตรา 50-50 % แล้ว ลูกจ้างจะมีรายได้ประมาณเดือนละ1หมื่นบาทต่อครอบครัว ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาระค่าใช้จ่ายในยุคปัจจุบัน ประกอบกับยังเจอปัญหาฝนตกชุกจนทำให้มีวันกรีดน้อยกว่าทุกๆปีด้วย

ดังนั้น จึงควรหามาตรการทำให้ราคายางพาราขยับตัวขึ้นไปอยู่ที่กก.ละ50บาท เป็นอย่างน้อยและสนับสนุนให้ใช้ยางพาราในประเทศอย่างจริงจัง

สำหรับปัญหาของปาล์มน้ำมันก็คล้ายๆกับยางพารา เพราะล่าสุดมีราคาร่วงลงไปเหลือกก.ละ3บาทเศษๆเท่านั้น ซึ่งในส่วนของลูกจ้างหรือคนตัดปาล์มอาจจะไม่ค่อยมีผลกระทบมากนัก เพราะยังคงได้รับค่าแรงเท่าเดิมคือกก.ละ80สตางค์ถึง1บาท แต่ในส่วนของนายจ้างเมื่อหักลบทั้งค่าจ้างและต้นทุนแล้วจะเหลือเงินค่อนข้างน้อยจนอยู่ได้อย่างยากลำบาก ภาครัฐจึงเห็นควรหามาตรการทำให้ราคาปาล์มน้ำมันขยับตัวขึ้นไปอยู่ที่กก.ละ4บาทเป็นอย่างน้อยและสนับสนุนวิชาการเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต